ทุ่งหญ้าแห้งเหลืองทองทอทาบบรรจบกับขอบฟ้า ยามอาทิตย์ยอแสงส่องสีส้มแดง ทั่วท้องทุ่งถูกย้อมสีส้มระยิบระยับก่อนที่จะปิดตาหลับในยามค่ำคืน
เสาไม้รั้วเก่ายืนเดียวดายอยู่กลางทุ่งหญ้าแห้งที่ถูกย้อมด้วยแสงอาทิตย์ยามเย็นสีแสดสว่าง เคยมีรั้วลวดหนาม
กั้นพื้นที่ยาวอยู่ที่นี่ แต่เมื่อผู้คนโยกย้ายถิ่นที่ ก็ไม่มีใครมาคอยซ่อมบำรุงมันอีกต่อไป เสารั้วเริ่มล้มลงทีละต้นๆเหลือแต่จนเหลืออยู่ต้นเดียวที่ยังไม่ยอมล้มลง ถึงแม้จะผ่านเวลาไปนานแค่ไหน ไม่ว่าจะผ่านลมฝนมากน้อยเพียงใด มันยังไม่ล้มลง ไม่แม้แต่จะเอนเอียง
ไม่ใช่ว่ามันเป็นเสาเหล็ก เสาปูนหรือเสาอะไรทั้งนั้นมันถึงได้คงทนต่อลมฝนอากาศและกาลเวลาถึงขนาดนี้ มันเป็นเพียงแค่เสาไม้สนธรรมดาเหมือนกับเสาต้นอื่นๆที่ถูกตัดมาทำเป็นรั้วให้กับไร่ร้างแห่งนี้ เป็นเสาไม้สนกลมมีรอยเลื่อยตัดเรียบที่ปลายยอดด้านบน กิ่งเล็กๆที่ลำถูกถากถอนออกจนหมด
เป็นเสาไม้สนที่ตั้งทอดตัวเหนือพื้นสูงขึ้นไปในอากาศประมาณ 2 เมตร และฝังอยู่ใต้ดินลึกประมาณ 1.5 เมตร เสาต้นอื่นๆก็สูงเท่ากัน ฝังลึกลงไปใต้ดินเท่าๆกัน แต่เสาเหล่านั้นล้มไปแล้ว ล้มลงไปนานแล้ว ไม่จากเพราะลมฟ้าอากาศก็จากแมลงที่มาเจาะแทะกินเนื้อไม้จนผุกร่อนอ่อนแอลงไป จนตายในที่สุด แต่เสาต้นสุดท้ายยังไม่ล้มและยังไม่ตาย มันยังมีชีวิตอยู่เพื่อรอคอย
ภาพวันคืนแห่งความทรงจำยังคงชัดเจน เป็นภาพที่พร้อมที่จะถูกเรียกออกมาฉายซ้ำ เพื่อที่จะย้ำภาพเก่าๆให้ยิ่งชัดเจนขึ้นไปอีก มันเหมือนภาพที่ยิ่งฉายยิ่งชัด
ท้องทุ่งเขียวชอุ่มที่เพิ่งถูกทิ้งร้างได้ไม่นาน หญ้าขึ้นรกครึ้ม หยาดน้ำค้างยามเช้ายังไม่แห้งเหือดสนิท เสาไม้รั้วยืนต้นเรียงแถวนิ่งสงบยาวสุดตา ยืนเงียบงันเหมือนกับยังไม่ตื่นนอนเต็มตา และทำท่าเหมือนกับจะนอนต่อ
แต่แล้วเสียงแหลมสูงเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น เสียงลอยมาจากบนฟ้าแล้วก็ดังใกล้เข้ามา ๆ แล้วมันก็หล่นตุ้บอยู่บนเสา
มันเป็นนกตัวหนึ่ง เจ้านกน้อยร้องโวยวายพร้อมกับกระพือปีกข้างขวาข้างเดียวของมันไม่หยุด ดูท่าปีกข้างซ้ายของมันจะเจ็บ เจ้านกดิ้นไปมาอยู่บนเสาดิ้นอยู่ 2-3 ทีมันก็หยุด หยุดนิ่งยืนตัวแข็งทื่ออยู่บนเสานั้น มันคงรู้ตัวว่ามันตกมาค้างอยู่บนเสา และเสาก็อยู่สูงขึ้นมาจากพื้นถึง 2 เมตร มันคงยังช็อกอยู่กับการตกลงมาจากที่สูง ซึ่งถึงจะไม่เป็นอะไรมากแต่อย่างน้อยก็ทำให้ปีกมันเจ็บ และมันคงยังไม่อยากตกจากที่สูงอีก มันคงยังไม่อยากที่จะเจ็บตัวอีกในตอนนี้
เจ้านกหยุดยืนนิ่งอยู่นาน มันคิดอะไรอยู่ ปีกชั้นจะหักมั้ย ชั้นจะบินได้อีกครั้งมั้ย เกิดอะไรขึ้น ที่นี่ที่ไหน ถ้ากระโดดลงไปข้างล่างชั้นจะบาดเจ็บอีกมั้ย แล้วชั้นจะเอาอะไรกิน ชั้นจะตายมั้ย
เจ้านกมันคงคิดอะไรไปต่างๆนานา มันคงกลัวไปทุกๆอย่างแน่ๆ มันถึงยืนแข็งทื่ออยู่อย่างนี้ตั้งครึ่งค่อนวัน แต่สุดท้ายมันก็นั่งลง ไม่ได้นั่งลงเพราะมันเกิดคลายใจ แต่ท่าทางจะนั่งลงเพราะหมดแรงมากกว่า มันนั่งลงแล้วมันก็หลับไป
เวลาเช้าอีกครั้งแล้ว เจ้านกยังนอนอยู่บนเสาไม้ ตัวของมันเปียกปอนไปหมด เจ้านกตัวสั่นจากความหนาว มันคงตื่นขึ้นมาตั้งแต่ก่อนรุ่งแล้ว มันคงนอนไม่หลับในอากาศหนาวขนาดนี้ อีกทั้งยังบาดเจ็บอยู่แบบนี้ ไม่รวมถึงความกลัวและความหิว
“กินเห็ดสิ” เจ้าเสาไม้สนพูดขึ้นมา
“กินเห็ดที่ขึ้นอยู่บนตัวฉันสิ มันอาจจะพอช่วยให้หายหิวได้นะ ไม่ฉันไม่เจ็บหรอก จิกกินได้ตามใจชอบเลย”
เจ้านกน้อยจิกกินเห็ดดอกที่อยู่ใกล้ตัวมากที่สุด มันกินอย่างเอร็ดอร่อย ตะกรุมตะกราม ดูท่าทางมันจะหิวมากทีเดียว
เจ้าลูกนกเล่าให้ฟังหลังจากกินเห็นจนอิ่มแล้ว มันเล่าว่าเมื่อวานมันเพิ่งหัดบินเป็นครั้งแรก ไม่ใช่นกทุกตัวจะบินได้เลยตั้งแต่เกิด ถึงจะเป็นนกแต่พวกมันก็ต้องหัดบินเหมือนกัน
ที่จริงแล้วนกที่บินได้ทุกตัวมีสรีระที่เหมาะสมกับการบินอยู่แล้ว แต่ที่นกแต่ละตัวมีไม่เท่ากันก็น่าจะอยู่ที่ความกล้า เจ้าลูกนกขี้กลัวไปหน่อยพอกระโดดออกจากรังที่อยู่บนยอดไม้ แทนที่มันจะพยายามบิน มันกลับตื่นเต้นตกใจจนลืมกระพือปีก แต่ยังโชคดีที่พอมันเห็นว่าจะตกถึงพื้นแล้วมันก็พยายามกระพือปีกสุดแรง แต่ก็แค่พอทำให้มันไม่บาดเจ็บหนักเมื่อลงมากระแทกกับเสาไม้สนเท่านั้น
เจ้าลูกนกปีกเจ็บแต่ก็ไม่ร้ายแรงนัก แต่กว่ามันจะบินได้ก็กินเวลาเกือบอาทิตย์ เจ้านกตัวเล็กอาศัยเห็ดที่ขึ้นอยู่บนเสากินเป็นอาหาร มันค่อยๆกินทีละนิดดีที่มันตัวเล็กมากเลยทำให้กินไม่เปลือง
ส่วนตอนนอนพอดีบนเสามีเห็ดดอกใหญ่บานอยู่ เจ้านกพอที่จะมุดตัวเข้าไปหลบน้ำค้างนอนได้ในตอนกลางคืน
ในระหว่างช่วงเวลาที่ลูกนกอยู่บนเสาไม้ ลูกนกก็จะคอยชวนเสาไม้คุยไปเรื่อยๆ เจ้าลูกนกช่างพูดช่างถามเหลือเกิน
“เธออยู่ที่นี่มานานแค่ไหนแล้ว”-----“นานหลายปีแล้ว”
“เธอบินได้มั้ย”-----“บินไม่ได้ เพราะฉันเป็นแค่ตอไม้”
“เธอเคยไปที่อื่นบ้างหรือเปล่า”-----“เคย ฉันเคย เมื่อก่อนฉันเคยเป็นต้นไม้มาก่อน อยู่บนภูเขาโน่น แต่ก็โดนตัดมาทำรั้วอยู่ที่นี่”
“เธอคิดถึงบ้านมั้ย”-----“ฉันจำไม่ได้แล้วว่าบ้านเป็นยังไง”
“แล้วเธออยากกลับบ้านมั้ย”-----“กลับไปไม่ได้แล้ว ฉันโดนตัดรากตัดใบไปหมด ตัวฉันไม่มีการเติบโตแล้ว คงอีกไม่นานฉันก็คงต้องล้มลงแล้วก็ผุพังไปเหมือนกับเสาต้นอื่นๆข้างๆนั่นไง”-----“แย่จัง แต่ชั้นอยากกลับบ้านนะ หรือถ้าไม่ใช่ก็อยากจะไปที่อื่น ชั้นไม่อยากอยู่แบบนี้เลย”-----“.....”
นานแล้วที่เจ้าเสาไม้ไม่มีใครมาคุยด้วย มันรู้สึกผูกพันกับเจ้าลูกนกอย่างบอกไม่ถูก แต่มันก็รู้ว่าพอเจ้าลูกนกหายเจ็บมันก็ต้องบินจากมันไป เพราะนกไม่ทำรังอยู่บนไม้ที่ไม่มีกิ่งก้าน ไม่มีใบให้ปิดบังพวกมันออกจากแดดฝน หรือซ่อนพวกมันจากสายตาของศัตรู เจ้านกคงไม่อยู่กับมันนาน
แต่ก็ผิดคาด เมื่อเจ้านกหายดีแล้วมันเริ่มหัดบินใหม่อีกครั้ง คราวนี้มันบินได้ไม่ยาก แต่พอบินได้แล้วเจ้าลูกนกก็ไม่ได้บินไปไหน มันยังคงบินวนเวียนอยู่รอบๆเจ้าเสาไม้ บินหากินอยู่รอบๆท้องทุ่งหญ้านั้น
เสาไม้เป็นเหมือนรังของเจ้าลูกนก ตอนเช้าออกจากรังไปออกหาอาหารไปทั่วท้องทุ่ง ตกเย็นลูกนกก็จะบินกลับมา กลับมาซุกตัวอยู่ใต้ดอกเห็ด แล้วก็ส่งเสียงจิ๊บจั๊บเล่าสิ่งที่ได้พบเจอมาแต่ละวันให้เสาไม้สนฟัง เล่าตั้งแต่บินกลับมาถึงจนฟ้ามืดจนม่อยหลับไป...
เสาไม้ช่างมีความสุข เจ้านกน้อยช่างร่าเริงมีชีวิตชีวา เจ้านกทำให้มันที่เป็นเพียงตอไม้แข็งดูไร้ชีวิตกลับดูมีชีวิต มันชอบใจที่เจ้าลูกนกมาอยู่กับมัน มันอยากให้เป็นอย่างนี้ตลอดไป
เสาไม้สนรู้สึกมีความสุข แต่มันก็รู้ว่าความสุขเช่นนี้ต้องมีวันสิ้นสุด เพียงแต่ไม่รู้ว่าอีกนานแค่ไหน อาจจะนานนับปี หรืออาจจะอีกไม่กี่วันไม่กี่ชั่วโมง ถึงแม้อาจจะไม่มีเรื่องราวใดมาทำให้ทั้งสองต้องแยกจากกัน แต่อย่างน้อยมันก็ไม่รู้ว่าเจ้าลูกนกจะมีอายุยืนยาวแค่ไหน หรือตัวมันเองจะทนยืนปักอยู่บนพื้นได้อีกกี่วันกี่เดือนกัน แต่ถ้ามันจะต้องแยกจากกันด้วยเงื่อนไขแห่งอายุตามลิขิตแห่งธรรมชาติ เจ้าเสาไม้ก็รู้สึกว่านั่นก็น่าพอใจ และน่าดีใจเหลือเกินแล้ว
เพียงแต่ไม่รู้ว่าเจ้าลูกนกรู้สึกอย่างไร ลูกนกอยากอยู่กับเสาไม้อย่างมันตลอดไปหรือไม่ มันจะเบื่อกับเสาไม้ที่เคลื่อนไหวไม่ได้ มันเป็นแค่เสาไม้บางทีก็ไม่รู้เรื่องราวอะไรของนกเลย เพราะมันเป็นต้นไม้ และสุดท้ายมันก็ไม่รู้ว่านกจะอยู่ร่วมกับเสาไม้อย่างมันได้หรือไม่ การอยู่ด้วยกันทำให้มันมีความสุข แต่อีกด้านหนึ่งมันก็มีความกังวลใจ ความกลัวและทุกข์ใจเกิดขึ้นในเวลาเดียวกัน
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ถึงจะเป็นเวลาหลายเดือนแต่พอเมื่อรู้สึกตัวมันช่างเป็นเวลาที่สั้นเหลือเกิน ความผิดหวังมักมาโดยไม่ทันตั้งตัว อยู่ๆเจ้าลูกนกก็หายไป ไม่มีคำล่ำลาใดๆ เจ้าลูกนกบินออกไปตอนเช้าตามปกติ แต่เมื่อถึงตอนเย็นมันก็ไม่กลับมาอีก
เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า เจ้าลูกนกจะเป็นอะไรไหม ถูกใครทำร้ายหรือเปล่า เสาสนอยากออกตามหาแต่จนใจที่มันเป็นเพียงเสาสน มันเดินไม่ได้ เคลื่อนที่ไม่ได้ มันได้แต่ยืนร้อนใจอยู่กับที่ วันแล้ววันเล่าวันแล้ววันเล่า...
แต่ไม่นานเสาไม้สนก็ได้ข่าวคราวของเจ้าลูกนกจากกระต่ายตัวหนึ่ง เจ้าลูกนกไม่ได้ถูกใครทำร้าย แต่ลูกนกบินจากไป บินไปในทิศทางที่ห่างออกไปจากเจ้าเสาสน ห่างออกไปๆจนไกลลับตา
ความรู้สึกของเสาไม้สนเป็นอย่างไร สบายใจที่รู้ว่าเจ้าลูกนกปลอดภัย แต่ก็สับสนในใจว่าเหตุใดทำไมเจ้านกถึงต้องจากไป ทั้งๆที่มันเองก็รู้ว่ามีหลายเหตุผลที่ทำให้เจ้านกต้องจากไป แต่มันไม่รู้ว่าเป็นเหตุผลไหน ถ้ามันรู้ว่าเหตุผลนั้นเป็นความผิดพลาดที่เกิดจากตัวมัน มันก็จะแก้ไขความผิดพลาดนั้น เพื่อที่จะให้เจ้านกกลับมาอยู่ด้วยกันอีกครั้ง หลังจากนั้นเจ้าเสาไม้สนเฝ้าคิดอยู่ตลอดเวลาว่า เพราะอะไรเพราะเหตุใด และมันจะทำอย่างไรทำอะไรต่อไป
“เฝ้ารอ” คำตอบที่มีเพียงอย่างเดียว ที่มันรู้ตอนนี้
เพียงแต่มันต้องเลือกว่ามันจะเฝ้ารออย่างไร การเฝ้ารอมีสองทาง แต่มีหนึ่งอย่างที่เหมือนกัน คือความคำนึงหา มันยังคงคิดถึง ยังคงเฝ้าถามเหตุผลของการจากไป มันเป็นความทุกข์ทรมานที่ไม่รู้เวลาที่สิ้นสุด แต่เวลาต่อจากนี้มันสามารถเลือกได้ว่า มันจะรออย่างหมดอาลัยตายอยาก หรือรออย่างมีความหวัง
เสาสนรู้ว่าลูกนกที่แสนร่าเริงไม่อยากให้เห็นมันต้องโศกเศร้าและทนทุกข์ มันไม่เลือกที่จะทำร้ายตัวเองเพื่อบอกใครต่อใครว่ามันมีความรักลึกล้ำแค่ไหน
เสาสนเลือกที่จะจดจำแต่สิ่งที่ดี คิดแต่ในแง่ที่ดีถึงแม้บางครั้ง ความรู้สึกเศร้าเสียใจน้อยใจ ก็แวะเวียนเข้ามาเวลาเผลอเสมอๆ แต่มันก็พยายามที่จะเตือนตัวเองไม่ให้คิดและหวังแต่ในสิ่งที่ดีเท่านั้น
เวลาผ่านไปแม้ไม่นานก็เหมือนแสนนาน สำหรับผู้ที่เฝ้ารอเวลาคล้ายเป็นเครื่องทรมาน ถึงเจ้าเสาสนจะคอยเตือนจิตใจตัวเองเสมอไม่ให้คิดถึง ถึงแม้ตอนนี้มันจะดูมีชีวิตชีวาขึ้น มีชีวิตชีวายิ่งกว่าตอนก่อนที่จะเจอเจ้านกเสียอีก บางทีการเฝ้ารอก็เป็นพลังให้กับชีวิตได้ แต่ถึงอย่างนั้นทุกวันเจ้าเสาสนก็ต้องมีเวลาหนึ่งที่นึกถึง ที่ทำให้มันเศร้าใจ บางวันอาจเกิดเพียงเศษเสี้ยววินาทีแต่บางวันก็นานถึงครึ่งค่อนวัน
เพียงปีช่างดูนานแสนนาน ถ้าเทียบกับเวลาของต้นไม้แล้วมันเป็นเพียงเสี้ยวเศษของเวลา แต่กับเสาไม้ที่ได้แต่รอคอย มันช่างนานเหมือนอนันต์
เสาสนยังคงรอลูกนกอยู่ ความรู้สึกมีความสุขเมื่อนึกถึงวันคืนที่มีร่วมกันยังคงอยู่ เพียงแต่เสาสนจำไม่ได้แล้วว่าเจ้านกมีรูปร่างหน้าตา สีสันอย่างไร
จะว่าไปก็ไม่ใช่ว่ามันเพิ่งจะจำไม่ได้ แต่มันจำไม่ได้มาตั้งนานแล้ว เสาสนไม่เคยจำความสวยน่ารักของลูกนก มันเพียงจดจำความร่าเริงสดใส ความมีน้ำใจและความรักที่เจ้านกมีให้กับมันเพียงเท่านั้น
ป่านนี้เจ้านกจะเติบโตขึ้นแค่ไหนแล้ว ถ้ามันกลับมามันจะยังคงคุยกับเสาสนเหมือนเดิมหรือเปล่า เจ้าเสาไม้นึกถึงความหลังอันแสนสุข แต่แล้วทำไมเจ้าลูกนกถึงไปจากเรา มันจะยังปลอดภัยดีอยู่หรือไม่ เราจะมีโอกาสที่จะได้กลับมาอยู่ร่วมกันอีกไหม เจ้าลูกนกยังคงต้องการมันอยู่หรือเปล่า เมื่อคิดถึงแม้จะมีความรู้สึกเป็นสุข แต่ความคิดที่เป็นทุกข์ก็พร้อมที่จะผุดขึ้นมา แต่เจ้าเสาสนก็ไม่กลัว มันไม่กลัวที่จะเจ็บ
อาจจะดูฉาบฉวยที่มันเพียงต้องการความรู้สึกมีความสุขเมื่อได้อยู่กับสิ่งที่มันรัก แต่มันรู้ดีว่าความรักอันนั้นไม่ใช่เพียงความสุข แต่มันจะเป็นพลังแห่งชีวิตให้กับมัน มันจึงยังคงรอคอย และจะรอคอยต่อไปจนถึงวันนั้น
เช้าสดใสกลับมาอีกครั้ง เหล่าชีวิตทั้งหลายต่างเริ่มดำเนินชีวิตตามปกติอย่างทุกวัน มีเพียงเสาสนเท่านั้นที่ยังคงยืนเงียบงันอยู่กลางดงหญ้าเขียวที่ขึ้นรกปกคลุมสูงจนเกือบจะท่วมเจ้าเสาสนอยู่แล้ว มันยังคงเป็นเช้าที่สดใสแต่เงียบงันสำหรับเสาสนเหมือนเช่นเคย
“เช้าที่เงียบสงบวันหนึ่ง มีเสียงลูกนกร้องเสียงหลงมาจากบนฟ้า แล้วลูกนกก็ตกลงมาอยู่บนยอดของมัน”
เสาสนนึกถึงวันนั้นอีกแล้ว นึกถึงวันที่ได้พบกับเจ้าลูกนกครั้งแรก วันนี้มันช่างดูเหมือนอะไรอย่างนี้ ต่างกันแค่ ต้นไม้หลายต้นโตขึ้น บางต้นหายไป หญ้าสูงขึ้น แต่ยังเขียวเหมือนเดิม แล้วก็เสียงนกร้องอย่างทุกวัน...
มันเงี่ยหูฟังเสียงรอบๆตัว
เสียงแหลมสูงเสียงหนึ่งดังขึ้นจากบนฟ้า เสียงนั้นดังขึ้นและถี่ขึ้นและใกล้เข้ามาทุกที จนสุดท้ายก็เป็นเสียง “ตุ้บ”
นกตัวหนึ่งตกลงมาบนเสา
เจ้านกนอนนิ่งหอบหายใจอยู่อย่างนั้น มันผ่านการเดินทางไกลโดยไม่ได้หยุดพัก
เสาสนจำเสียงนั้นได้ดี ถึงแม้ว่ามันจะรู้สึกว่าตัวเจ้าลูกนกจะหนักขึ้น เพราะมันตัวใหญ่ขึ้น เสียงจะเปลี่ยนไปบ้าง แต่มันก็คือลูกนกตัวเดิมที่มันเฝ้ารอคอยอยู่ทุกวัน
“ห หิวมั้ย กินเห็ดสิ”
เจ้านกนิ่งเงียบไป แล้วมันก็เริ่มกินเห็ดบนเสาเหมือนอย่างที่เคยเมื่อนานมาแล้ว
“ชั้นกลับมาหา”-----“อืม...ฉันเห็นแล้ว และดีใจที่ได้เจออีกครั้ง”
“โกรธชั้นมั้ยที่ไปโดยไม่ลา”-----“โกรธฉันมั้ยที่ยังยืนอยู่ตรงนี้โดยที่ไม่ได้ออกตามหา”
“ตอนที่ชั้นจากไป ชั้นทำผิดไปมากมาย”-----“ฉันอยู่ที่นี่ก็ไม่ได้ทำสิ่งที่ถูกต้องมากมายนัก”
“อายุขัยของนกอย่างชั้น น่าจะอยู่ได้อีกประมาณ 1 ปี ถ้า...ชั้นจะขอกลับมาอยู่ที่นี่...”-----“ถ้าฉันจะขอให้เธอกลับมาอยู่ที่นี่ ฉันไม่รู้ว่าฉันจะมีอายุเหลืออีกกี่วันกี่ปี แต่ถ้าฉันอยากจะขอให้เธออยู่ที่นี่...”
เสาสนรู้สึกดีใจแต่มันก็สะท้อนใจว่าเจ้านกจะอยู่กับมันได้จริงหรือ วันนี้เจ้านกตัวโตขึ้น เห็ดดอกใหญ่แค่ไหนก็บังน้ำค้างให้เจ้านกไม่ได้แล้ว อย่าว่าแต่เห็ดดอกนั้นโดนใครสักคนเด็ดไปแล้ว เจ้านกจะอยู่เหมือนเดิมกับมันได้อย่างไร...
แต่การรอคอยคือพลัง หญ้าขึ้นสูงเกือบท่วมเจ้าเสา ทำให้มันไม่รู้ว่าปาฏิหาริย์เกิดขึ้นแล้ว เสาไม้สนที่ปักอยู่บนพื้นดินเกิดรากขึ้นมา รากที่เป็นเครื่องหมายแห่งชีวิต เจ้าเสาสนไม่รู้เลยว่าตัวมันกำลังเติบโตขึ้นทีละน้อย
ภาพเดิมๆกลับมา เจ้านกบินกลับมาจากหาอาหาร มันบินกลับมาเกาะที่ยอดเสา ส่งเสียงจิ๊บจั้บเล่าเรื่องราวต่างๆที่มันได้พบเจอมา ไม่ว่าเรื่องจะดีหรือไม่ดีอย่างไร เสาสนก็ยิ้มฟังอย่างตั้งใจ
แสงแห่งวันเริ่มหรี่ลงทีละน้อยแต่เสียงของเจ้านกก็ยังไม่ได้ค่อยลงเลย เสาสนก็ยินดีที่จะอยู่รับฟังให้สมกับความคิดถึง
ความรักทำให้เกิดพลัง ไม่มีใครสังเกตว่าใบไม้ใบแรกได้ผลิออกมาแล้ว
เหตุที่ไม่ใช่แค่คน
ก็เพราะไม่ใช้ว่าจะมีแต่เรื่องราวที่มีผู้ดำเนินเรื่องเป็นแค่คนอย่างเดียวนี่ เลยไม่ใช้แค่(เรื่องของ)คน
ก็เพราะเป็นเรื่องราวอะไรบ้างก็ไม่รู้ที่เอามาเทๆรวมกัน ครั้นพอจะรวมให้เป็นเรื่องเดียวกันแค่จะเอาไม้พายมาคนๆแค่นั้นมันเห็นจะไม่พอ อาจต้องใช้วิธีตัดแปะ จับเพาะชนเกะ จนมันพอจะอ่านเป็นเรื่องเดียวกันแต่ในอารมณ์แบบ "หือ มันมาจากเหตุนี้เหรอ"
แค่เปิดหน้าก็น่างงแล้ว เรื่องราวข้างในอาจงงงวยยิ่งกว่านี้ก็เป็นได้
ก็เพราะเป็นเรื่องราวอะไรบ้างก็ไม่รู้ที่เอามาเทๆรวมกัน ครั้นพอจะรวมให้เป็นเรื่องเดียวกันแค่จะเอาไม้พายมาคนๆแค่นั้นมันเห็นจะไม่พอ อาจต้องใช้วิธีตัดแปะ จับเพาะชนเกะ จนมันพอจะอ่านเป็นเรื่องเดียวกันแต่ในอารมณ์แบบ "หือ มันมาจากเหตุนี้เหรอ"
แค่เปิดหน้าก็น่างงแล้ว เรื่องราวข้างในอาจงงงวยยิ่งกว่านี้ก็เป็นได้
วันอาทิตย์ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2553
วันพฤหัสบดีที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2553
ในวันฝนตก ลูกนกเปียกซก


วันนี้ฝนตกทั้งวันตกเช้ารอบนึงแล้วก็หยุดไป ฟ้ายังครึ้มอยู่ จนช่วงสายๆก็กระหน่ำลงมาอีกเซ็ต ไม่ให้ซุ่มให้เสียง มาอย่างรวดเร็ว แล้วก็ไปอย่างรวดเร็ว
หลังจากฝนหยุดแล้วก็เดินไปดูไก่ที่เลี้ยงไว้หลังบ้าน (ดูว่ามันโดนฝนหรือเปล่า) แต่ระหว่างทางก็เหลือบไปเห็นไอ้ตัวนี้เข้า
ตอนแรกก็มองๆอยู่ อ่าวมันเปียกนี่นา ดูท่าจะยังไปไหนไม่ได้ ยังเป็นลูกนกเอ๊าะๆอยู่ด้วย ด้วยประสบการณ์ เจอภัยมาไม่รู้ตัวได้แต่ยืนเกาะกิ่งไม้ตัวสั่นอยู่อย่างนั้น
"เสร็จสิงานนี้"เมื่อดูท่าว่าไปไหนไม่รอดอย่างนี้แล้วเลยรีบวิ่งเข้าบ้านไปหยิบกล้องมาถ่ายรูปซะเลยเริ่มด้วยการแอบถ่ายไกลๆก่อน แล้วค่อยขยับเข้าไปใกล้ๆ
ขณะถ่ายก็วางแผนไปด้วยว่าจตะช่วยเหลือมันยังไงดู ดูท่าจะยังบินไม่เป็นเสียด้วยสิ
๑)ช่วยให้มันได้บุญดีมั้ย ด้วยการให้มันได้บำเพ็ญตัวเป็นผัดเผ็ดนกเลี้ยงคนให้มีชีวิตรอดไปอีกมื้อหนึ่ง



๓)ช่วยสอนบทเรียนชีวิตครั้งสำคัญให้กับมันว่า ถ้าตอนฝนตกหนักแล้วไม่ยอมอยู่กับเหย้าเฝ้ารังดีๆ อาจมีรังใหม่เป็นกระทะผัดเผ็ดได้

อ่อๆ ที่เพ้อๆไปก็แค่พูดเล่นแค่นั้นอย่างอนเลยนะ ยังไงก็แค่จะถ่ายรูปเฉยๆล่ะ ว่าแต่แกตัวใหญ่จังเลยนะ นี่แกยังบินไม่ได้อีกเหรอ แล้วนี่แกยังเป็นลูกนกอยู่ใช่มั้ย....คำถามสุดท้ายแล้วนี่แกเป็นนกกระจอกใช่มั้ย

สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)