วันนี้เป็นอีกวันที่น่าเบื่อ ลืมตาขึ้นมาก็เจอกับเพดานผืนเดิม พัดลมตัวเดิม หมอนข้างใบเดิม ในสมองก็คิดถึงแต่กิจกรรมเดิมๆ ตื่นนอน แปลงฟัน อาบน้ำ หาของกิน ออกไปเล่นเกม เมื่อไหร่นะที่จะมีอย่างอื่นมาเปลี่ยนกิจวัตรเดิมๆแบบนี้
มันเป็นกิจวัตรประจำวันตั้งแต่เรียนจบปริญญาตรี ตื่นนอน แปรงฟัน อาบน้ำ หาของกิน แล้วก็ออกไปเล่นเกมออนไลน์ที่ร้านเกม นั่งจนง่วงแล้วค่อยกลับห้อง หาของกิน อาบน้ำ แปรงฟัน แล้วก็นอน วนกลับไปกลับมาอยู่อย่างนี้มาเกือบปีได้แล้วมั้ง
จริงๆก็ไม่ได้เพิ่งหัดเล่นเกมพวกนี้ตอนเรียนจบหรอกนะ เพื่อนชวนเล่นตั้งแต่เข้ามาเรียนที่กรุงเทพฯ 3-4 ปีได้แล้วมั้ง ช่วงที่เรียนอยู่ก็..ตื่นนอน เช้าออกไปเรียน เย็นเล่นเกม เที่ยงคืนกลับหอนอน หรือวันไหนไม่อยากเรียนก็ไปเล่นเกมตั้งแต่เช้าเลย หรือวันไหนไม่อยากเล่นเกมก็ไปเรียน แต่อันหลังนี่น้อยครั้งจริงๆ บางวันเดินออกจากห้อง ตั้งใจจะไปเรียน พอเดินผ่านประตูหน้าร้านเกม ก็เปลี่ยนใจเดินเลี้ยวไปเปิดประตูเข้าร้านเกมเสียอย่างนั้น เคยนึกว่าจะเรียนไม่จบซะแล้ว แต่ก็รอดมาได้
เห็นอย่างนี้ใครๆคงคิดว่าเกาะพ่อแม่กินไปวันๆ คิดผิดแล้วครับผมทำงานหาเลี้ยงตัวเองได้ตั้งแต่ปีสามแล้ว รู้หรือเปล่าครับว่าเล่นเกมก็หาเงินใช้ได้ เกมไหนที่โอนถ่ายสิ่งของในเกมให้กันได้ เกมนั้นก็ใช้หาเงินได้ หลักการตลาดธรรมดา เมื่อคุณต้องการอะไรในเกมก็บอกมา เราจะหาให้เพียงแค่คุณจ่ายเงินมาแค่นั้นเอง ผมสนุกกับมันมากได้ทั้งเล่นเกมได้ทั้งเงินใช้ วันที่ไม่มีธุระจริงๆผมไม่เคยลุกออกจากหน้าจอคอมพิวเตอร์เลย แต่นั่นมันก็เมื่อสองปีมาแล้ว
ตอนนี้มันเริ่มรู้สึกเบื่อ เพื่อนที่เล่นเกมมาด้วยกันก็ค่อยๆหายไปทีละคนๆ พอเรียนจบก็แยกย้ายกันไป มีภาระของแต่ละคน ผมเองที่จริงก็รู้ตัวว่าถึงเวลาแล้วเหมือนกัน คงต้องออกไปหางานทำแบบคนอื่น แต่มันยังไม่อยาก บางทีผมคงกลัวที่จะต้องเผชิญโลกที่กว้างขึ้น โลกที่เป็นจริงไม่ใช่เกม ที่ถ้าตัวละครตายขึ้นมาก็แค่กดปุ่มปุ่มเดียว ตัวละครก็จะมีชีวิตขึ้นมาใหม่ แต่ในความเป็นจริงมันไม่ใช่ ถึงแม้ว่าอาจจะไม่ถึงกับตาย แต่อย่างน้อยก็ต้องมีเหนื่อย มีทุกข์ อะไรก็ตามที่ไม่ดี ที่เราไม่ชอบก็เรียกรวมว่าทุกข์ ทุกคนกลัวความทุกข์ ผมก็กลัว กลัวที่จะต้องออกไปเผชิญกับมัน การทำงานมันไม่สนุกเหมือนการเล่นเกมอยู่แล้ว
บางครั้งเจอเพื่อนเก่า คำถามแรกๆที่ต้องเจอคือ
“ตอนนี้ทำอะไรอยู่ล่ะ”
“ไม่ได้ทำ เล่นเกมไปวันๆ”
จบคำถามนี้ก็ทำให้ไม่มีอารมณ์คุยต่อ ต้องรีบหาทางปลีกตัวทันที ทำไมกันนะก็ในเมื่อเล่นเกม ก็หาเงินเลี้ยงตัวเองได้เหมือนกัน แต่ทำไมพอบอกว่ายังไม่ได้ทำงาน ทุกคนก็ต้องทำหน้าทำตาว่าเหมือนจะบอกว่า
“ไอ้นี่ยังเล่นเกมอยู่อีก”
“เรียนก็จบแล้วยังไม่มีงานทำอีก”
ทำไมวะจะทำอย่างนี้จะอยู่อย่างนี้มันหนักหัวใครตรงไหน หรือจะให้บอกว่างานของกูคือเล่นเกมไงล่ะ พอคิดแล้วก็แค้น แต่มาคิดอีกที เราก็ยังไม่เคยเจอใครพูดแบบนี้ต่อหน้าเลยซักครั้ง แค่คิดว่าเค้าจะพูดก็หงุดหงิดขึ้นมาเสียแล้ว
เดินมาหยุดยืนอยู่ที่หน้าร้านเกม จากจุดที่ยืนอยู่ ถ้าก้าวเดินของเรา ยาวก้าวล่ะ 65 เซนติเมตร อีก 3 ก้าวก็จะถึงหน้าประตู ถ้ายืนในระยะนั้น ยกแขนให้ต้นแขนกาง 14 องศา วัดจากต้นแขนกับอก ข้อศอกกาง 140 องศา วัดจากแขนด้านใน หักข้อมือลง 132 องศา วัดจากข้อมือกับโคนนิ้วโป้งมือเดียวกัน ก็จะจับมือจับลูกบิดประตูได้พอดี นอกจากเล่นเกมหน้าจอคอมพิวเตอร์แล้ว บางโอกาสยังได้เล่นเกมอื่นๆ เป็นค่าข้าวค่าน้ำกับพวกเด็กในร้าน เคยพนันกันว่า ถ้ายืนที่พรมหน้าร้านแล้วยื่นมือไปจับมือจับประตู ข้อศอกจะทำมุมเป็นเลขคู่หรือเลขคี่ ช่างสรรหากันเหลือเกิน ทุกอย่างเกี่ยวกับร้านเกมถูกเอามาเล่นเกือบหมด เก้าอี้ตัวไหนจะพังก่อน เมาส์ของเครื่องไหนสายยาวกว่ากัน CPU เครื่องไหนเก่าที่สุด มอนิเตอร์ตัวไหนหนักที่สุด เวลาสองสามปีที่เล่นเกมที่ร้านนี้ ทำให้เรารู้ข้อมูลของร้านมากกว่าพี่มดเจ้าของร้านเสียอีก
“สวัสดีครับพี่หมู มาช้าจังเลย” คิดอะไรเพลินๆอยู่ เจ้านิวก็เข้ามาทัก
“เล่นก่อนเลยนิว เดี๋ยวตามไป” เจ้านิวชอบโดดเรียนวันศุกร์มาเล่นเกมตั้งแต่เช้า มันเคยบอกว่ามันเกลียดครูดนตรี เพราะมันเกเรครูดนตรีเลยชอบตีมัน หลังๆมันเลยไม่อยากเข้าเรียน จนสุดท้ายมันก็เลิกเรียนวันศุกร์ไป วันนี้นิวใส่เสื้อยืดกางเกงขาสั้นมา แสดงว่าเตรียมชุดมาเปลี่ยน อาทิตย์ที่แล้ว ถูกสารวัตรนักเรียนจับได้ทั้งชุดนักเรียน ได้ข่าวว่าโดนตีไปอีกชุดใหญ่ อาทิตย์นี้เลยเตรียมพร้อม
“อ่าวหมูออกมาดูดบุหรี่เหรอ มีให้พี่ซักตัวมั้ย” พี่ชิดอายุมากกว่า 3 ปี แต่ยังเล่นเกมอยู่ไม่ไปไหน เด็กที่ร้านบอก มาร้านต้องเจอพี่ชิดกับพี่หมู วันไหนไม่เจอใครซักคน วันนั้นหิมะตก
“ยังไม่ได้เข้าร้านเลยพี่ บุหรี่หมดยังไม่ได้ซื้อเลย” อาจจะเป็นเพราะพี่ชิดยังเล่นเกมไม่เลิก ก็เลยเห็นว่าแก่ขนาดนี้ยังเล่นได้ เราจะเล่นเกมไปเรื่อยๆ จนอายุเท่าพี่เค้าก็คงไม่ใช่เรื่องแปลก
แต่วันนี้มันเบื่อจริงๆ คงจะต้องพักบ้าง แต่จะให้ไปไหนดีล่ะ ก็ในเมื่อเวลาที่ผ่านมา นอกจากร้านเกมแล้วยังไม่เคยไปไหนเลย จะไปดูหนังเรื่องหนึ่งใช้เงิน 120 บาท เอาเงิน 120 บาทมาเล่นเกมได้ทั้งวัน เช่าการ์ตูนมาอ่านก็ไม่มีที่นั่งอ่าน กลับไปอ่านที่ห้องก็ร้อนจะตาย หรือจะเล่นแชท ก็ต้องเข้าร้านเนทอยู่ดี ไม่อยากเข้าเบื่อ เบื่อ ไม่รู้จะทำอะไรดีเบื่อจังโว้ย...
ไปหาข้าวกินก่อนดีกว่า อิ่มแล้วเผื่อจะคิดอะไรออก กระเพาะแน่นสมองแล่น
จากร้านเกมเดินออกมาถึงปากซอย ยังไม่พอใจกับร้านข้าวร้านไหนเลย เมนูทุกเมนูของร้านทุกร้านในซอย เคยผ่านลิ้นมาหมดแล้ว บางอย่างไม่ชอบ บางอย่างก็ชอบ แต่วันนี้รู้สึกไม่ชอบเลยซักอย่าง ท่าจะแย่ อาการเบื่อไม่ได้เป็นแค่เบื่อเกมเสียแล้ว มันพาให้เบื่อของกินแถวนี้ด้วย แต่ไม่เป็นไรเวลามีเหลือเฟือ ไม่อยากกินแถวนี้ ก็ถือโอกาสไปหากินที่ไกลๆหน่อยก็ได้เปลี่ยนบรรยากาศ
เดินจากปากซอยมาถึงป้ายรถเมล์ ก็ยืนตัดสินใจว่าจะไปไหนดี เพราะตลอดถนนเส้นนี้เวลานี้ นอกจากซอยที่อยู่แล้ว ยังไม่เคยเห็นมีร้านข้าวอีกเลย หรืออาจจะมีแต่ไม่ทันสังเกต แล้วถ้าจะขึ้นรถเมล์จะขึ้นสายอะไร แล้วจะไปไหน ถ้าหลงขึ้นมาจะทำยังไงเสียเวลาเปล่าๆ แล้วถ้าเกิดนั่งรถไปได้ซักป้ายนึง เกิดเจอร้านข้าวน่ากินขึ้นมา ก็ต้องรีบกระโดดลง เปลืองค่ารถเปล่าๆอีก แล้วชาวบ้านก็ต้องคิดว่าขึ้นรถผิดสายเลยรีบลง อายอีก สรุปเดินไปเรื่อยๆดีกว่า
เดินมาได้กิโลชักเริ่มเหนื่อย เหม็นควัน เสียงก็ดังเวียนหัวไปหมด เหลือบเห็นข้างหน้ามีซอยอยู่พอดี ไม่ไหวแล้วเดินไปตามถนนใหญ่เรื่อยๆต้องตายแน่ เข้าไปในซอยดีกว่า ไม่แน่อาจจะมีร้านข้าวในซอยก็เป็นได้ ว่าแล้วก็เดินเลี้ยวเข้าไปในซอย
โอ้คุณพระ ซอยที่กว้างขนาดรถผ่านได้คันเดียว อาจจะไม่ผิดปกติตรงที่เป็นซอยที่แคบเกินไป เพราะที่ไหนๆก็มีซอยแคบแบบนี้ แต่ที่แปลกคือทางยังเป็นทางดินอยู่ ทางเดินที่ไม่ใช่ทางลูกรัง ถึงแม้จะเป็นแค่ซอยแคบๆก็เถอะ แต่นี่กรุงเทพฯนะ ไม่ใช่ชาญเมืองด้วย น่าจะพกกล้องมาด้วย จะได้ถ่ายไปลงหนังสือพิมพ์คอลัมน์ประเภท “ภาพมันฟ้อง” ไม่ ไม่ ไม่ดี! ส่งไปออกทีวีดีกว่าดังกว่าเยอะ
โอ้โฮทางมันเละเหลือเกิน เละในที่นี้ไม่ใช่ว่าฝนเพิ่งตก ดินเลยเละ แต่ถนนแห้งๆนี่ล่ะ แต่ขรุขระเหลือเกิน เนินดินเล็กๆเต็มไปหมด แถมมีหินโผล่ขึ้นมาเป็นระยะๆ เดินเท้ายังลำบากขนาดนี้ เป็นรถคงพังตั้งแต่ต้นซอย ขนาดจักรยานยังขี่ยากเลย
แต่ก็น่าสนุกดี ลองเดินไปอีกหน่อยดีกว่าเผื่อจะเจออะไรแปลกกว่านี้ ไม่แน่เดินไปสุดทางอาจจะเจอบ้านขนมแบบในนิทานก็ได้
เดินมาเกือบสิบนาที ชักไม่แน่ใจว่าน่าจะเดินต่อดีหรือเปล่า ถ้าเดินต่อไปต่อให้ไม่สะดุดหกล้ม รองเท้าก็อาจจะพังไปก่อน ขณะที่กำลังจะหันหลังกลับก็รู้สึกว่ามีใครเดินตามหลังมา พอหันกลับไปก็เห็นคน 3-4 เดินตามอยู่ข้างหลัง ดูท่าทางจะไม่ใช่โจรหรือผู้ร้ายอะไร เพราะแต่ละคนก้มหน้าก้มตาเดิน พยายามเอาตัวรอดจากซอยมหาโหดนี้ให้ได้ พอเห็นก็ได้แต่แปลกใจว่าทำไมทางดีๆมีไม่ไปเดินกันนะ มาเดินกันในซอยแบบนี้
เพิ่งนึกได้ แล้วถ้าเดินกันมาเต็มซอยขนาดนี้ เราก็เดินกลับไม่ได้แล้วละสิ แต่ละคนก้มหน้าก้มตาเดินไล่เข้ามาเรื่อยๆแล้ว นี่มันรู้กันหรือเปล่าว่าเรายืนอยู่ตรงนี้ เอ...ดูท่าจะแย่ ขืนยืนอยู่ตรงดีอาจจะโดนชนล้มก็ได้ เดินต่อดีกว่าว่าแต่มันจะรีบไปไหนของมันกัน
เดินไปอีกซักพักรู้สึกว่ามีแขนใครมาดันอยู่ข้างๆ หันไปมองเป็นชายคนหนึ่งกำลังก้มหน้าเดินอยู่ เดินมาเร็วกว่าคนอื่น ก้มไปดูรองเท้ามันดูหรู ดูแข็งแรงทนทานกว่าคนอื่น มิน่าเดินเร็วนัก
นี่เราคงเดินขวางทางอยู่เลยเอาแขนมาดัน แต่เรื่องแค่นี้บอกกันก็ได้ไม่เห็นต้องดันเลย แล้วที่จริงทางก็ยังตั้งกว้าง แค่เดินเบี่ยงไปอีกนิดก็พ้นแล้ว นี่ถ้าไม่เห็นว่าตัวใหญ่กว่านะ มีมวยแน่ๆ คิดไม่ทันเสร็จก็ต้องสะดุ้งอีกที เพราะไอ้คนข้างหลังค่อยๆทยอยเดินแซงไปเรื่อยๆ คนเพิ่มขึ้นจากที่เห็นตอนแรกเป็นสิบสิบคน มาจากไหนกันเต็มไปหมด
“โว้ยอย่าผลักสิ จะเดินก็หาทางเอาเองสิ”
“ทนไม่ไหวแล้ว มามาชกกันเลยมา” ตะโกนสุดเสียงแต่ก็เหมือนไม่มีใครสนใจ
ไอ้บ้าพวกนั้นไม่รู้จะรีบไปไหนกัน ท่าทางแต่ล่ะคนก้มหน้าก้มตาเดิน เหมือนโดนสะกดจิต แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ตามไปดูว่า คนพวกนั้นไปไหนกัน สู้แรงไม่ไหว พอดีด้านข้างมีซอยเล็กๆอยู่พอดี ซอยนี้เล็กขนาดคนเดินได้คนเดียว สองข้างเป็นกำแพงฝาสังกะสี ยาวไปตลอดทาง พื้นก็ยังเป็นดินอยู่เหมือนเดิม แต่นั่นก็ไม่เป็นไรยังดีกว่าเดินไปกับไอ้พวกนั้น ถ้าต้องเดินไปกับพวกนั้นนะ ขอเดินคนเดียวเล็กๆแคบๆแบบนี้ดีกว่า
ไม่รู้เหมือนกันว่าซอยจะไปออกที่ไหน แต่เรื่องนั้นไม่น่าห่วงเท่าเรื่องว่า ถ้าเจอไอ้พวกบ้านั่นอีกจะทำยังไง ซอยแคบขนาดนี้ถ้าเจอแบบนั้นอีก คราวนี้อาจโดนเหยียบตายก็ได้ เดินคิดไปพลางก็มองซ้ายมองขวาหาทางออกไปเรื่อยๆ
โชคช่วย สังกะสีด้านซ้ายมือมันแง้มอยู่นิดหน่อย มองออกไปฝั่งตรงข้ามเป็นถนนพอดี เอาล่ะไปทางนี้ดีกว่า ไม่ทันคิดอะไรก็มุดลอดสังกะสีออกมาก่อนแล้ว
ความกว้างขนาดนี้ก็ยังเล็กเกินไปที่จะเรียกว่าถนน ขนาดก็พอๆกับซอยแรกที่เข้ามา แต่ทางดีกว่าเยอะ เป็นถนนซีเมนต์เรียบร้อย มีรั้วไม้เตี้ยๆตั้งกันอยู่สองข้างทางตลอดแนว สองข้างทางก็เป็นทุ่งหญ้า ถึงจะไม่สวยเท่ากับทุ่งดอกไม้ แต่กับเราแค่ทุ่งหญ้าแบบนี้ก็ดีพอแล้ว
สูดลมหายใจเข้าเต็มปอดหนึ่งครั้ง “กลางกรุงมีที่แบบนี้ด้วยหรือนี่” ในใจก็คิดว่า อยากใช้เวลากับถนนเส้นนี้ให้นานนาน ถ้าให้ดี อยากให้ทั้งซอยเป็นของเราคนเดียว จะโลภไปมั้ยนะ
เป็นความสุขที่ไม่ได้เจอมานานแล้ว ได้เดินสูดลมหายใจได้เต็มปอด เป็นการเดินที่สนุกที่สุดในชีวิต สนุกกว่าตอนเล่นเกมที่หน้าคอมพิวเตอร์เสียอีก เดินไปร้องเพลงไป เดินบ้างวิ่งบ้างกระโดดบ้าง รู้สึกเหมือนกับกลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง ไม่ได้บ้านะ แต่บางทีก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ ซอยทั้งซอยเหมือนเป็นของเราคนเดียว วันหลังพาแม่กับพ่อมาเดินด้วยดีกว่า เค้าคงชอบ
แต่ก่อนหน้านั้น ต้องรู้ให้ได้ก่อนว่า ตกลงซอยนี้มันไปออกที่ไหนกันแน่ ที่จริงมันก็น่าแปลกใจอยู่หรอก ว่าทางยาวขนาดนี้ ร่มรื่นขนาดนี้ เงียบสงบขนาดนี้มันยังมีอยู่ในกรุงเทพฯอีกหรือ ตรอกซอกซอยไหนบ้างที่ไม่มีรถวิ่ง ขนาดซอยตันยังมีรถ แต่ถนนสวยขนาดนี้กลับไม่มีรถวิ่ง หรือเป็นถนนส่วนบุคคล ถ้าลองได้เป็นเจ้าของซอยที่ยาวขนาดนี้ได้แล้ว มันต้องเป็นระดับนายกฯแน่ๆ หรือไม่นี่ก็คงเป็น...ความฝัน
โอย..นี่มันจะเป็นฝันได้ยังไง นี่เหนื่อยจริงนะนี่ เดินมาร่วมชั่วโมงได้แล้วมั้ง ยังไม่มีวี่แววว่าจะถึงปากซอย
เหนื่อยจังชักอยากนั่งพักหาน้ำเย็นๆกินซะแล้ว คิดเสร็จก็เหลียวซ้ายแลขวา ทั้งๆที่เดินมองมาข้างหน้าตลอด รู้อยู่แล้วว่าสองข้างทางไม่มีร้านค้าอยู่ซักร้าน แต่ก็ยังอดที่จะมองหาไม่ได้ ในขณะที่เหลียวกลับไปมองข้างหลัง ก็เห็นผู้ชายคนหนึ่งกำลังเดินตามมา อยู่ลิบๆ
จุดสังเกตอย่างแรกจนเอามาเป็นชื่อเรียกของมัน คือมันใส่แว่นก็ต้องเรียกมันว่าไอ้แว่น ใส่กางเกงขายาว เสื้อเชิ้ตสีขาว ผูกไทต์ ใส่แว่น โอ้โหครบสูตร เป็นมนุษย์ประเภทที่เกลียดที่สุด พวกเด็กเรียนเรียบร้อย คุณหนู แค่เห็นก็รู้สึกเหม็นหน้าขึ้นมา
ดูท่ามันพยายามที่จะเดินตามเราให้ทัน สายตามันจ้องมาที่เราตลอดเวลา แต่จากสภาพเหนื่อยหอบ เหงื่อโทรมขนาดนี้แสดงว่ามันต้องเร่งเดินมานานมาก ดูท่าว่าจะลงไปนอนกองได้ทุกเมื่อ ไอ้แว่นนี่ ไม่เจียมตัวเอาซะเลย ผอมกะหร่องขี้โรคขนาดนี้ ดูท่าจะไม่ค่อยได้ออกกำลังกายเลยสิท่า สมน้ำหน้า เห็นสภาพนี้แล้วก็คิดว่าเลิกสนใจดีกว่า ว่าแล้วก็เดินมองหาร้านขายน้ำต่อไป
เดินมาได้ซักพักยังไม่เจอร้านขายน้ำ แต่ยังดีที่มันแค่อยากเฉยๆ ไม่ค่อยหิวเท่าไหร่
ฮ้าวววว..ชักอยากจะนั่งพักแล้ว อาการเดิมเกิดขึ้นอีก เหลียวซ้ายแลขวาหาที่นั่ง จบด้วยการเหลียวไปมองข้างหลังนิดนึง แต่แล้วก็ต้องตกใจ ในขณะที่เอียงคอไปทางซ้ายได้ไม่ถึง 90 องศา หมายถึงยังไม่ทันเอียงคอหันข้างเต็มที่ ที่หางตาก็ปรากฏภาพเจ้าแว่น กำลังเดินเทียบข้างขึ้นมา สภาพเหนื่อยหอบ เหงื่อโทรมไม่เปลี่ยน ดูเหมือนจะลงไปนอนกองได้ทุกเมื่อ แต่ไม่ลง
หลุดอุทานในสมองแล้วว่า “เฮ้ยไอ้แว่น” ดีที่ยังไม่หลุดปากพูดออกไป ไอ้นี่มันเอาแรงมาจากไหนของมันกัน แต่ไม่ได้ มัวแต่จะมาคิดชื่นชมมันไม่ได้ มันเดินมาทีหลังแต่กำลังจะแซงไปแล้ว แสดงว่ามันต้องเดินตามมาด้วยความเร็วที่เร็วกว่าเรา เจ้าแห่งการเดินเร็วอย่างเรา ไอ้ขี้โรคอย่างมันนี่นะจะมาแข่ง อีกร้อยปีเถอะไอ้แว่น
คิดได้แค่นั้นก็เร่งฝีเท้าขึ้น “ที่ผ่านมาแค่เดินเล่นไปเรื่อยๆหรอก ถ้าข้าเอาจริงแกไม่มีทางเห็นฝุ่น” อยากจะบอกมันอย่างนี้เหมือนกัน แต่ไม่ได้ เราต้องไม่บอกให้มันรู้ว่าเรากำลังจะเอาจริง ใช้โอกาสช่วงนี้ที่มันไม่รู้ตัวว่าเรากำลังจะเอาจริง เร่งฝีเท้าเดินหนีจนมันไม่มีโอกาสตามทันอีก
ซ้าย......ขวา......ซ้าย......ขวา......ซ้าย...ขวา...ซ้าย...ขวา...ซ้ายขวาซ้ายขวาซ้ายขวา
คงก้าวเท้าข้างซ้ายหรือขวาติดกันข้างล่ะสองเท้าไม่ได้ แต่นี่เราก็เร่งสับเท้าเต็มที่แล้ว เพียงแต่ว่ายังเป็นการเดินอยู่ ถ้าวิ่งคิดว่าจะเป็นการกินแรงเกินไป ถ้ามันใช้โอกาสที่เราหมดแรงแล้วแซงขึ้นไป มีหวังตามไม่ทันแน่ เพราะอย่างนั้นต้องเก็บแรงเอาไว้บ้าง แหมอย่างเรานี่ก็เป็นนักวางแผนเหมือนกันนะ
แต่เดินมาขนาดนี้แล้วน่าทิ้งห่างมาพอสมควรแล้วนะ หรือจะพักสักนิดดี
ซ้าย......ขวา......ซ้าย......ขวา......ซ้าย...ขวา...ซ้าย...ขวา...ซ้ายขวาซ้ายขวาซ้ายขวา คงก้าวเท้าข้างซ้ายหรือขวาติดกันข้างล่ะสองเท้าไม่ได้ ถ้าทำได้ไอ้แว่นคงทำไปแล้ว เพราะถ้ามันทำได้มันคงแซงเราไปแล้ว นี่ขนาดเราเร่งฝีเท้าเต็มที่โดยที่ไม่บอกมันก่อนนะ มันยังไล่ตามมาติดๆ มิหนำซ้ำยังใช้จังหวะการเดินแทบจะเท่ากันอีกต่างหาก
“เฮ้ย เลียนแบบเหรอวะ” อยากจะถามมันจริงๆ แต่กลัวมันจะตอบกลับมาว่าถ้าไม่อยากให้เลียนแบบก็ลงไปอยู่ข้างหลังสิ ถ้าแบบนี้จะตอบมันกลับยังดี
เดินมาอีกพักใหญ่ถึงได้รู้ว่าไอ้แว่นนี่มันไม่ธรรมดาจริงๆ ทั้งๆเดินมานานขนาดนี้ มันยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุด เหนื่อยน่ะมันเหนื่อยมาตั้งนานแล้ว ตั้งแต่เห็นครั้งแรกด้วยซ้ำ แต่มันก็อึดเหมือนวัวเหมือนควาย แต่จะว่าไปไอ้คนที่เดินมาก่อนมัน ก็คงอึดเหมือนวัวเหมือนควายกว่ามัน แล้วก็น่าจะหมดแรงก่อนมัน...
ไอ้แว่นเร่งมาเดินอยู่ข้างๆได้ซักพักแล้ว ถึงตอนนี้ไม่มีใครนำหน้าใคร ที่จริงแล้วเราน่าจะมีแรงมากกว่าไอ้แห้งนี่ ดูจากรู้ร่างกล้ามเนื้อขาแล้ว เราก็ได้เปรียบอยู่ทุกทาง เพราะบางวันเลิกเล่นเกมก็มีไปเตะบอลเป็นครั้งคราว ผิดกับไอ้แว่นนี่ที่ดูเหมือนวันๆจะฝึกแต่กล้ามเนื้อลูกตา กรอกไปกรอกมาอ่านหนังสือทั้งวัน แต่ทำไม๊ทำไมทำไมนะ ทำไมมันถึงเดินได้คู่คี่กับเราขนาดนี้นะ
อ๋อเพราะรองเท้าของมันนี่เอง ยี่ห้อดังนะเนี่ย ใช้ของแพงเชียวนะไอ้แว่น รุ่นนี้เค้าโฆษณาว่ารองรับแรงกระแทกได้ดีเหมือนเดินบนเมฆ ส่วนฝั่งนี้ใส่แค่รองเท้าฟองน้ำธรรมดาตราช้างดาวไข่ รองเท้ายาจกพวกนี้ ไม่รองรับแรงกระแทก ไม่มีดอกยางช่วยยึดเกาะ ถึงแม้จะมีข้อดีที่สุดที่ระบบระบายอากาศ แต่ไม่มีระบบระบายน้ำ พอเดินไปเรื่อย เหงื่อมันชักจะออก เดินลื่นไปลื่นมา ชักเดินไม่ถนัด แต่ยังไงก็ไม่ยอมแพ้หรอก
“รวยกว่าแล้วเป็นไงวะ ยังไงก็ไม่มีถอยอยู่แล้ว ถึงมีรองเท้าดี แต่แรงไม่มีอย่างนี้ อย่างมากก็ทำได้แค่เสมอแค่นั่นล่ะไอ้แว่น” นี่ก็ได้แต่คิด ขืนพูดออกไปเดี๋ยวมันจะหาว่า เห็นว่าเสียเปรียบไปตีโพยตีพายกับมัน
ตอนนี้รู้ตัวว่าเสียเปรียบเรื่องอุปกรณ์นิดหน่อย แต่เรื่องกำลังไม่มีแพ้ ที่เหลืออาจจะเป็นแค่ดวง ใครดวงดีกว่าก็ชนะไป
ถูกแล้วใครดวงดีกว่าก็ชนะไป แล้วคนที่ดวงซวยอย่างเราต้องทำยังไงล่ะทีนี้...
โอ้ววันอื่นมีตั้งหลายวันไม่มาขุด ดันมาขุดถนนอะไรกันวันนี้ เราเดินอยู่ทางขวา ไอ้แว่นเดินอยู่ทางซ้าย ที่ขุดทางซ่อมทางมันมาอยู่ทางขวา ทางซ้ายเว้นเอาไว้ให้เดินได้ ระยะอีกประมาณ 100 เมตรจะถึง จุดซ่อมถนน เอาวะพระเจ้าไม่เป็นใจ ก็ต้องใช้แรงของตัวเองเข้าสู้ ระยะที่เหลือยังไงก็ต้องเร่งแซงไอ้แว่นให้ได้ เอาวะพลังเอ๊ยจงเป็นของข้า...
60 เมตร... 50 เมตร... 40 เมตร... จะเร่งฝีเท้าแค่ไหนไอ้แว่นก็พยายามเร่งเดินไม่ยอมให้แซงไปได้ 30 เมตรเข้าไปแล้ว กฎหมายห้ามแซงก่อนถึงสะพานในระยะ 30 เมตรนะเว่ย ไอ้แว่นให้ข้าแซงไปก่อนเดี๋ยวตำรวจจับ
อ่อ...แต่นี่มันไม่ใช่ขับรถนี่ เดินแข่งกันกติกาขับรถมายุ่งอะไรด้วย ว่าแล้วก็พยายามเร่งฝีเท้าต่อเพื่อจะจะให้แซงมันให้ได้ แต่เดี๋ยวไอ้นี่มันเดินคู่เรามาทางซ้ายตลอดเลยเหรอนี่
“กฎหมายเค้าห้ามแซงทางซ้ายนะไอ้แว่นนนนนนนนนน” ตะโกนสุดเสียงอยู่ในใจ แต่ยังไม่วายที่จะมาเสียงแปร่งลอดออกมาได้นิดหน่อย
พอคิดจบก็หยุดยืนอยู่หน้าป้ายที่เขียนว่า “ห้ามผ่าน กำลังมีการซ่อมทาง”พอดี ได้แต่ยืนหยุดรอให้ไอ้แว่นเดินผ่านไปก่อน แล้วค่อยเดินตาม ถึงไม่รู้ว่าปกติรถยนต์เร่งความเร็วจาก 0-100 จะใช้เวลาเท่าไหร่ ในตอนนี้รู้แต่ว่ากำลังใจจาก 100 หดมาเหลือ 0 ใช้เวลาแค่เสี้ยววินาที
ไอ้แว่นยังเร่งเดินต่อไป ในขณะที่เราได้แต่เดินลากเท้าไปทีละข้างๆ ก้าวแต่ล่ะก้าวทำไมมันหนักขนาดนี้นะ
ฟ้าเอ๋ยมันสมควรแล้วหรือ ทั้งที่เราพยายามไม่ได้น้อยกว่าใคร แต่ทำไมต้องมีแต่เราที่เจอเรื่องแบบนี้นะ คิดได้เท่านั้นก็ไม่มีแรงจะเดินต่อ
ส่วนไอ้แว่นขนาดไม่มีเราแข่งด้วยแล้วทำไมมันยังเร่งเดินต่อไปอีกนะ
อ่อลืมไปที่จริงมันอาจจะไม่ได้คิดที่จะแข่งกับเราตั้งแต่แรกแล้วก็ได้ ที่จริงมันอาจจะเดินของมันอยู่เฉยๆ แล้วเราไปคิดเอาเองว่ามันจะแข่งด้วย ถ้าเราเป็นมันอาจจะคิดว่า “ไอ้บ้านี่มาเดินแข่งอยู่ได้ คนจะรีบไป” อะไรทำนองนี้ คิดแล้วก็น่าหัวเราะเยอะตัวเอง
ตอนนี้ได้แต่คิดว่า เดินมาไกลแล้วเหมือนกันนะ ชักจะเหนื่อยเสียแล้วสิ ขณะที่ทรุดลงนั่งข้างทางก็รู้สึกว่ามีคนเดินผ่านหน้าไป หนึ่งคน สองคน สามคน...สิบคน
ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ไม่มีวี่แววเลยว่าซอยซอยนี้จะมีผู้คนพลุ่กพล่านขนาดนี้ แต่ตอนนี้กลับมีคนเดินเต็มไปหมด ทุกกำลังเร่งเดินกันเต็มที่ สภาพเหมือนตอนที่เราเห็นเจ้าแว่นครั้งแรก แต่ละคนที่เดินผ่านเราไปก็หันมามองเราแวบหนึ่งแล้วก็เดินต่อไป
ถึงจะรู้สึกว่าทุกคนกำลังเร่งฝีเท้าอย่างเต็มที่ แต่ในสายตาเราก็บอกได้ว่า พวกนี้เดินเร็วไม่เท่ากับตอนที่เราเดินแข่งกับไอ้แว่น โถ่เอ้ยถ้าเราแข่งกับไอ้พวกนี้แทนไอ้แว่นขี้โรคนั่นนะ เราชนะไปนานแล้ว
ไอ้แว่นขี้โรค ไอ้แว่นขี้โรค นี่เราแพ้ไอ้แว่นขี้โรคนั่นแล้วเหรอนี่ ไม่สิ ไม่ ไม่ ยังไม่แพ้สักหน่อย แค่โดนมันแซงไปครั้งเดียวเอง ทั้งๆที่ไอ้แว่นมันเดินมาทีหลังเรามันยังมีโอกาสแซงไปได้ แล้วเราจะไม่มีโอกาสแซงมันกลับได้เชียวหรือ ไอ้แว่นมันบักโกรกขนาดนั้น เดินไปอีกไม่นานมันอาจจะหมดแรงก็ได้ แรงเราก็ยังมีไม่ชนะก็ให้รู้ไป แล้วอีกอย่าง ยิ่งยอมไม่ได้เข้าไปใหญ่ ถ้าสุดท้ายเราหรือไอ้แว่นต้องมาแพ้ไอ้พวกเต่าพวกนี้
คิดได้แล้วก็ลุกขึ้นเดินต่อ ยังรู้สึกเส้นเลือดที่ขามันยังเต้นตุบๆอยู่ เหมือนจะรีบฉีดเลือดเข้าไปเลี้ยงขาให้ทัน เหมือนมันจะบอกว่ายังไหว ไปเลยเพ่
อย่างน้อยที่หยุดเดินไปก็เหมือนกับได้พักแล้วนิดหน่อย สิ่งที่ต้องทำตอนนี้คือต้องรีบตามเจ้าแว่นให้ทันก่อน ก่อนที่มันจะทิ้งห่างไปกว่านี้ เพราะฉะนั้นไม่ต้องคิดอะไรมากแล้วรีบเดินดีกว่า
หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า ไม่ทันไรก็แซงพวกที่เดินแซงเราตอนที่นั่งพักไปได้ 5 คนแล้ว ไอ้พวกนี้มันเต่าจริงๆ ถ้าเป็นไอ้พวกนี้นะ ต่อให้มีสักร้อยคนก็ไม่มีทางแพ้
แต่นอกจากระวังคู่แข่งแล้ว ตอนนี้เรายังคอยระวังทางตลอดเวลา ไม่ได้หมายความว่า ข้างทางจะมีใครคอยดักทำร้าย แต่เรารู้แล้วว่า ทางที่เห็นว่าแน่นอน บางทีก็มีใครมาขุดซ่อมถนนได้เหมือนกัน เพื่อไม่ให้เกินการซ้ำรอย มันก็ต้องคอยดูหน้า ดูหลัง ดูซ้าย ดูขวา เพื่อความปลอดภัย
เดินมาได้อีกพักใหญ่ยังไม่เห็นเจ้าแว่นกับอีก 5 คนที่เหลือ แต่กลับเห็นเหล็กกั้นลายขาวแดงกั้นทางอยู่ เหล็กกั้นถนนเหมือนที่ชอบใช้กันตามหมู่บ้าน แต่ต่างตรงที่ว่าดูท่าทางมันจะยกเปิดไม่ได้ แล้วอีกอย่าง ทำไมมันกว้างขนาดนี้
ความสูงของเหล็กก็ประมาณหน้าอกของเรา ยกสูงจากพื้นประมาณ 5 ซม. ตัวแผ่นเหล็กกว้างเมตรครึ่งได้
จะเอายังไงดีล่ะ ด้านข้างก็ไปไม่ได้ เรารั้วมันกันยาวออกไปนอกถนนด้วย ใครมันเป็นคนคิดกันวะ ไอ้การกั้นรัวแบบนี้ คนรีบจะตายยังมากั้นรั้วขวางอีก
การที่เจอแต่รั้วแต่ไม่เห็นพวกที่เดินมาก่อน แสดงว่าพวกนั้นข้ามรั้วไปแล้ว แต่ว่าจะข้ามยังไงล่ะ จะมุดไปช่องก็แคบเหลือเกิน ผ่านไม่ได้แน่นอน มีทางเดียวคือต้องกระโดดข้ามไป
ด้วยแรงที่มีตอนนี้ไม่น่าจะยาก หรือถึงยาก ก็ต้องทำแล้วล่ะ ไม่มีทางอื่นแล้วขึ้นมัวคิดหน้าคิดหลังก็ตามไม่ทันพอดี เอาวะ ถอยไปตั้งหลักก่อน จากนั้นก็เริ่มวิ่งเต็มฝีเท้า หนึ่ง สอง สาม โดดดดดดดด
ตัวลอยข้ามรั้วมาได้อย่างหวุดหวิด แต่รองเท้าดันไปเกี่ยวกับรั้วเหล็กนิดหน่อย ทำให้เสียจังหวะตอนลงพื้น แต่ยังโชคดีที่แค่เซไปสองสามก้าว ไม่ถึงกับล้ม ทำให้กรรมการตัดคะแนนได้ไม่มาก แต่เพราะโดนเกี่ยวรองเท้าทำให้จังหวะลงตัวหมุนกลับหลัง ขณะที่กำลังชูมือเพื่อแสดงว่าทรงตัวได้สมบูรณ์แล้วก็เงยหน้ามองไปข้างหน้า แล้วก็เห็น 5 คนที่เราแซงไปเมื่อกี้กำลังเร่งเดินตามมา
มัวแต่เล่นอยู่ไม่ได้แล้ว รีบเดินต่อดีกว่า จังหวะที่หันหลังกลับกำลังจะเตรียมเดินต่อ ก็ไปสะดุดกับใครคนหนึ่งเข้า
“ไอ้แว่น” คราวนี้หลุดพูดออกมาเต็มปาก มันมานั่งอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ไม่ทันสังเกตุ
“ใครแว่น ไม่ได้รู้จักกันไม่ต้องมาเรียกเลย” โฮ่ไอ้นี่กวนตีนอย่างที่คิดไว้เลย ช่วงแวบหนึ่งที่เห็นมันนั่งอยู่ เราเกิดความรู้สึกสงสัย ปนสงสารอยากจะช่วยอยู่เหมือนกัน ต่อไปได้ยินแบบนั้นก็หมดอารมณ์ทันที
กวนตีนนะมึง นั่งอยู่อย่างนี้เถอะ ไอ้แว่นหมดแรงแล้ว ข้างหน้าก็เหลือแต่เต่า งานนี้ไม่พ้นแชมป์แน่เรา จากนั้นก็ลุกขึ้นปัดฝุ่นใส่ไอ้แว่นสองสามที แล้วก็เดินต่อไป
ไอ้แว่นเอ๊ย คนอุตส่าห์คิดจะช่วย กลับมาทำปากดี มันก็สมควรแล้ว นั่งอยู่ตรงนั้นถ้าเกิดมีใครไม่ทันเห็นกระโดดข้ามรั้ว มาเหยียบเข้าทีนี้ได้พิการกว่าเก่าแน่ โธ่เดินด้วยกันมาตั้งนาน มามีจุดจบแบบนี้ คิดแล้วก็น่าสงสาร
“เพราะข้าสงสารหรอกนะ แม่สอนไว้ ไม่ว่าจะเป็นใครถ้าเห็นว่าเดือดร้อนช่วยได้ก็ให้ช่วย งานนี้เอ็งต้องขอบคุณแม่ข้า” ก็เป็นเพราะนึกถึงคำสอนของแม่ขึ้นมาได้ ถึงได้เดินย้อนกลับมาช่วยไอ้แว่น โชคดีที่ยังไม่มีใครกระโดดข้ามรั้วมาเหยียบมันเข้าเสียก่อน แต่ก็เห็นหัวใครลอดใต้รั้วเข้ามาแล้ว
ไอ้แว่นไม่พูดอะไร ตอนพยุงขึ้นมาได้ยินเสียงร้องครางเบาๆในลำคอ ถ้าทางอาการจะหนักเอาการ แต่ก็ยังไม่ยอมทำท่าเจ็บปวดออกมาให้เห็น ไอ้นี่มันอึดจริงแฮะ
พยุงมาได้ซักพักก็เริ่มคุยกัน ไอ้แว่นบอกว่า พอเห็นเราต้องหยุดเพราะไปติดที่เค้าทำถนนอยู่ ก็พยายามเร่งฝีเท้าขึ้นอีกเพื่อทิ้งห่างให้ได้มากที่สุด พอเห็นว่าห่างพอสมควรแล้วก็ลดความเร็วลง เดินพักขามาเรื่อยๆ จนมาถึงรั้วเหล็ก ขณะกำลังหาทางข้ามไปอยู่ก็เห็นคนเดินตามมาไกลๆ ไอ้แว่นก็นึกว่าเราเดินตามมาทัน เลยตัดสินใจกระโดดข้ามรั้ว
แต่โชคร้ายถึงมันจะลดความเร็วพักขามาบ้างแล้วแต่ก็ยังไม่มากพอ ขามันข้ามไม่พ้น ทำให้มันเสียหลักหกล้ม แล้วพอดีไอ้พวกที่ตามมาข้างหลัง ก็มีคนหนึ่งกระโดดข้ามรั้วมาไม่ทันเห็นเหยียบขาเจ้าแว่นซ้ำเข้าไปอีกที คราวนี้เลยเจ็บหนักเข้าไปใหญ่
“ขอบใจมากนะ แต่เราคงเดินไปเองไม่ไหวแล้วล่ะ ปล่อยเราไว้ตรงนี้เถอะ เดี๋ยวจะตามพวกกลุ่มนำไม่ทัน”
“เฮ้ย เห็นข้าเป็นคนยังไงวะ คิดว่าเพื่อนจะทิ้งเพื่อนได้ลงคอหรือไง” ที่จริงเห็นสภาพแล้วก็คิดจะปล่อยไว้ข้างทางเหมือนกัน แต่พอฟังมันพูดเข้าเลยตัดใจไม่ลง
“เพื่อนเหรอ ตลกจังนะ ตอนเจอครั้งแรกยังไม่มีวี่แววว่าจะได้เป็นเพื่อนกัน แล้วยิ่งตอนแข่งกันนี่เราถือว่านายเป็นศัตรูเลยนะ” ไอ้แว่นพูดไปยิ้มไป
“นี่ถ้ายิ้มตั้งแต่แรกที่เจอกัน เราก็ไม่คิดจะแข่งด้วยแล้ว แหมเล่นเดินจ้องมาเหมือนจะฆ่ากันมันก็ต้องเจอกันหน่อย”
“เราก็ไม่ได้คิดจะแข่งอะไรกับนายหรอก แต่พอเห็นนายอยู่ข้างหน้า เราก็เลยคิดว่า เอานายนี่ล่ะเป็นเป้าหมาย เราจะได้มีแรงเดินต่อไปยังไง”
“แค่นี้เหรอ โถ่ไอ้แว่น รู้มั้ยว่าข้าเกือบจะถอดใจอยู่แล้ว ตอนที่ต้องหยุดให้เอ็งแซงไปตอนนั้น โชคดีนะที่ไม่หยุด ถ้าขืนหยุดไปแล้วมารู้ทีหลังว่าเอ็งคิดแค่นี้นะ ข้าต้องผูกคอตายแน่ๆ” พูดจบก็อดขำไม่ได้ ไอ้แว่นก็หัวเราะออกมาด้วย
ตอนนี้อีก 5 คนที่ตามหลังเราเมื่อกี้ เดินแซงเราไปหมดแล้ว แล้วยังมีอีกสองสามคนที่ไม่เคยเห็นหน้าเดินแซงเราไป แต่ตอนนี้ผมไม่สนใจเดินแข่งกับใครอีกแล้ว ส่วนเจ้าแว่นมีบ่นเป็นระยะๆว่าถ้าเป็นปกตินะ ไม่มีทางให้ใครแซงแน่นอน ผมก็ได้แต่บอกให้ใจเย็น ดูแลตัวเองให้ดีขึ้นก่อนดีกว่า แล้วค่อยออกไปแข่งใหม่ก็ยังไม่สาย
เดินมาอีกระยะหนึ่ง ก็มาดูขาเจ้าแว่นดีขึ้นมากแล้ว แต่ผมก็ยังคอยประคองอยู่เพื่อเจ้าแว่นจะได้ไม่ต้องใช้แรงมาก จะได้หายเร็วขึ้น เราประคองกันเดินมาเรื่อยๆจนถึงทางแยก
ทางสายที่เดินอยู่นี้ยาวมาก ยาวจนผมไม่คิดว่ามันจะมีทางแยกมาก่อน เจ้าแว่นหยุดยืนมองที่ทางแยกแล้วบอกกับผมว่า ทางเส้นนี้ท่าทางจะมีคนเดินไปไม่เท่าไหร่ ถ้าจะแข่งต่อ ทางเส้นนี้อาจมีโอกาสเป็นผู้นำอีกครั้ง
แล้วก็ชักชวนผมให้เดินไปกับมัน แต่ผมปฏิเสธ ผมชอบเส้นทางสายนี้ ถึงแม้ว่าจะไม่สามารถเป็นที่หนึ่ง หรือไม่สามารถแซงใครได้อีก เพราะผมรู้ว่าเวลานี้ผมล้ามากแล้ว แต่ผมก็มีความสุขที่ได้เดินอยู่กับถนนสายที่ผมชอบ
กับทางแยกที่เจ้าแว่นจะเดินไป มันก็เหมือนทางที่ผมเดินผ่านมา เพียงแต่มันไม่ราบเรียบสวยงามเท่า เจ้าแว่นยืนยันว่ายังอยากจะแข่งต่อในสนามที่คิดว่าสามารถเป็นที่หนึ่งได้ ตอนนี้ร่างกายมันเกือบจะเรียกว่าเป็นปกติแล้ว มันพร้อมที่จะเดินต่อไป ผมก็เข้าใจในความคิดของมัน และมันก็เข้าใจในความคิดของผม ถึงแม้เราจะต้องแยกทางกันเดินตรงนี้ แต่เราก็ยังสามารถติดต่อกันผ่านโทรศัพท์ได้ ไม่แน่ว่าในทางข้างหน้าทางที่เราเดินอาจจะมาบรรจบกัน จนต้องแข่งกันใหม่ก็ได้
เจ้าแว่นเดินลับตาไปแล้ว ในขณะที่ผมยังคงยืนส่งอยู่กับที่ด้วยสายตา ในขณะที่สมองสั่งการให้หันไปทางขวาเพื่อตั้งหน้าตั้งตาเดินต่อ หัวใจกลับบอกว่าให้หันไปกลับหลังก่อน หันหลังไปเพื่อมองกลับไปในเส้นทางที่เดินผ่านมา
ถึงแม้สายตาจะมองเห็นทางที่ผ่านมาได้จำกัด แต่สมองกลับส่งเรื่องราวต่างๆออกมาให้นึกถึงอย่างไม่หมด ทุกอย่างที่ผ่านมาเป็นความโชคดีที่หายากจริงๆ
โชคดีที่ได้เจอกับธุรกิจที่เราชอบ ทำให้เราสามารถดำเนินธุรกิจมาได้ด้วยความสนุกสนาน โชคดีที่ได้เจอกับเจ้าแว่น เพราะถ้าด้วยนิสัยเรื่อยเปื่อยไม่มีจุดหมายอย่างเราแล้ว ถึงแม้จะชอบงานที่ทำขนาดไหน แต่ถ้าไม่มีคู่แข่ง ไม่มีเป้าหมาย เราอาจจะทำงานแบบทำไปวันๆก็ได้ เพราะได้เจ้าแว่นเลยทำให้เราได้พัฒนาตัวเองขึ้นมา เพื่อไม่ให้แพ้คู่แข่งที่น่ากลัวอย่างมัน
โชคดีที่เราได้หยุดเมื่อเจออุปสรรค์ ทำให้เรารอบคอบมากขึ้นในการเดินก้าวต่อๆมา เมื่อผ่านอุปสรรค์แรกมาได้ ถึงอุปสรรค์ต่อมาจะร้ายแรงแค่ไหน เราก็สามารถก้าวข้ามมันไปได้ โชคดีที่แม่สอนมาดี ทำให้เรามีโอกาสได้เพื่อนที่ดีอย่างเจ้าแว่น
“ถ้ามีปัญหาเรียกเราได้เสมอนะ เรายอมทิ้งทุกอย่างเพื่อมาช่วยนาย” เสียงเจ้าแว่นพูดไว้ก่อนปล่อยมือออกจากมือเรา
โชคดีที่เราเป็นเรา โชคดีที่เราพอใจกับอะไรที่ง่ายๆ ถ้าเป็นที่หนึ่งง่ายๆก็เป็น แต่ถ้าเป็นที่สอง สาม สี่ ห้า หกจนถึงที่ร้อย แล้วไม่เดือดร้อนก็จะเป็น
โชคดีที่เราพอเพียง โชคดีที่สิ่งที่มีอยู่เพียงพอกับที่เราต้องการ โชคดีที่ 30 ปีที่ผ่านมามีแต่เรื่องโชคดี และสุดท้ายคือโชคดีที่ฉันได้เดินผ่านประตูบานนั้นมา