เหตุที่ไม่ใช่แค่คน

ก็เพราะไม่ใช้ว่าจะมีแต่เรื่องราวที่มีผู้ดำเนินเรื่องเป็นแค่คนอย่างเดียวนี่ เลยไม่ใช้แค่(เรื่องของ)คน

ก็เพราะเป็นเรื่องราวอะไรบ้างก็ไม่รู้ที่เอามาเทๆรวมกัน ครั้นพอจะรวมให้เป็นเรื่องเดียวกันแค่จะเอาไม้พายมาคนๆแค่นั้นมันเห็นจะไม่พอ อาจต้องใช้วิธีตัดแปะ จับเพาะชนเกะ จนมันพอจะอ่านเป็นเรื่องเดียวกันแต่ในอารมณ์แบบ "หือ มันมาจากเหตุนี้เหรอ"

แค่เปิดหน้าก็น่างงแล้ว เรื่องราวข้างในอาจงงงวยยิ่งกว่านี้ก็เป็นได้

วันอังคารที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2553

งานแต่งที่นึกถึง

วันนี้เอาเรื่องสั้นที่เกี่ยวกับงานแต่งงานลง เลยทำให้คิดถึงงานแต่งงานที่ไปมาจริงๆแล้วรู้สึกชอบมากๆ
ไม่ใช่ๆ ไม่ใช่ชอบมาก เป็นงานที่รักมาก เป็นงานแต่งงานที่ให้ความสุขเวลาที่ไปร่วมงานได้จริงๆ

แน่นอนล่ะว่าที่มีความสุขเพราะส่วนหนึ่งก็รู้จักกับคู่บ่าวสาวเป็นการส่วนตัว โดยเฉพาะกับเจ้าสาวที่เป็นรุ่นน้องที่รู้จักกันมานาน

ในขณะที่ก้าวเท้าเข้าไปในบ้านที่เป็นที่จัดพิธีรดน้ำตอนเช้าอย่างประหม่า แต่พอได้เห็นเจ้าสาวยิ้มให้อย่างไม่มีเกรงใจแขกคนอื่นก็ทำให้รู้สึกอิจฉาเจ้าบ่ีาวขึ้นมาถนัดใจ

งานเช้าไม่มีรูปคงไม่เล่าดีกว่า เพราะยังไม่มีอะไรมาก (ที่จรีิงก็มีล่ะ แต่ถ้าเล่าคงจะยาว) หนีไปโม้เรื่องตอนเย็นเลยดีกว่า

งานแต่งงานก็คงคล้ายกับงานในเรื่องที่เขียนนั่นล่ะ เป็นงานแต่งงานเล็กๆ แต่เปลี่ยนจากโรงพละเป็นศาลาประชุมของ อบต.

เดินเข้าไปในงานตอนที่งานเข้าเริ่มไปนานแล้ว เค้าเริ่มกินกันไปซักพักแล้ว โต๊ะก็ไม่มีก็ยืนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ที่ได้เห็นงานแต่งงานของน้อง แล้วก็ได้เห็นน้องที่เดินไปเดินมา ทักคนนั้นทีคนโน้นทีโดยไม่มีสีหน้าเหน็ดเหนื่อย

เกือบทุกคนที่มางานเป็นคนที่ไม่คนใดก็คนหนึ่งรู้จัก การทักทายจึงรู้สึกสนิดสนมใจ การได้ขอบคุณคนคุ้นเคยคงไม่ทำให้เหนื่อยอะไรเลย

เจ้าสาวกับเจ้าบ่าวเปรี้ยวมาก จากรูปหน้างานแต่งงานรูปใหญ่ที่ใช้ในงาน บอกได้เลยว่างานนี้เป็นงานของทั้งสองคนจริงๆ (ดูรูปด้านบนประกอบ)

ออกจะโม้เกินไปซะแล้ว ลืมวงเล็บไว้ด้วยว่าเป็นพื้นที่โฆษณา.. อ่อๆ ไม่ได้โฆษณานะ แต่รู้สึกอย่างนั้นจริงๆ

แล้วอีกส่วนของงานที่ชอบมากคือวงดนตรี

วงเปิด(งานนี้เค้าใช้วงดนตรี ๒ วง วงแรกที่เล่นเลยบเรียกว่าวงเปิดแล้วกัน) เล่นเพลงทั่วๆไปไม่ค่อยมีอะไรน่าสนใจเท่าไหร่ ขึ้นมาเมื่อไหร่ ลงไปเมื่อไหร่จำไม่ค่อยได้

แต่ช่วงก่อนพิธีกล่าวคำอวยพรจะเริ่มก็มีวงอีกวงหนึ่งขึ้นมาบนเวที จังหวะแรกที่เห็นเลยเนี่ย ในใจนึกว่าวงอะไรหว่า ขึ้นเวทีมาทำอะไรกัน

บนเวทีมีการเอาเก้าอีกมาตั้ง ๒ ตัว แล้วก็มีการจูงผู้ชาย ๑ คน กับผู้หญิง ๑ คนขึ้นมาบนเวที ดูหน้าตาตอนแรกบอกตัวเองว่า ดาวน์นี่นา (down syndrome) เพราะนอกจากหน้าแปลกๆแล้วยังนั่งโยกไปมาๆอยู่นั่น

ถ้าจำไม่ผิด ๒ คนนั่งอยู่อย่างนั้นจนจบพิธีบนเวที แล้วหลังจากนั้นเป็นการกินอาหารส่วนที่เหลือพร้อมฟังดนตรี พอถึงตอนนี้ล่ะถึงได้รู้

นักดนตรีคนอื่นถูกจูงขึ้นมาบนเวที

จูงขึ้นมาจริงๆครับ เพราะพวกเค้าตาบอกสนิททุกคน รวมทั้ง ๒ คนก่อนหน้านั้นด้วย นักดนตรี ๓ คนมีมือกีตาร์ มือกลอง และมีเบส ขึ้นมาเซ็ตเครื่องของตัวเองเสร็จก็เริมบรรเลง

พอเริ่มเพลงเท่านั้นล่ะ ต้องยกมือไหว้อย่างลืมตัว เพราะแน่นมาก คนตาบอดเล่นจริงเหรอเนี่ย แน่น แม่น และเพราะมาก แต่ ๒ นาทีหลังจากนั้นก็ต้องยกมือขึ้นมาไหว้อีกครั้ง เพราะคนที่เราเรียกว่าดาวน์ในตอนแรกร้องเพลงเพราะกว่านักร้องชื่อดังในประเทศหลายๆคน เสียงดีมาก

เทพจริงๆนะ เล่นเพลงได้หลายแนวมาก แล้วไม่ใช่แค่เพลงไทย เพลง when you say nothing at all จากมือกลองฟังแล้วอยากจะชวนออกเทป เทพจริงๆครับ

น่าจะยังไม่มีเยอะมั้งที่งานแต่งงานจะเลือกวงดนตรีตาบอดทั้งวงมาเล่น (รวมคนคุมแผง mixer ด้วย) แล้วคิดว่าคงไม่ใช่ผู้ใหญ่จัดหาให้หรอก ถ้าเป็นสไตล์นี้ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าใครเป็นคนเลือก ถึงได้บอกว่างานแต่งงานที่เป็นของเจ้าของงานจริงๆมันดูมีความสุขจริงๆนะ

ท้ายงานวงดนตรีไม่รู้บรรเลงเพลงอะไรบ้างแล้ว แต่เจ้าบ่าวเจ้าสาวจูงมือกัน กวักมือเรียกเพื่อนๆ ออกไปเต้นกันสนุกสนาน เหงื่อท่วมหน้าเจ้าบ่าวเจ้าสาว ไม่ห่วงสวยเลยคนนี้ กลับบ้านด้วยความสุขของจริง (love bike มันเป็นเรื่องแต่ง แต่ถึงเป็นเรื่องจริง อาจจะไม่ชอบเท่งานนี้ก็ได้)

อ่อสุดท้ายที่ชอบอีกอย่างแปล้วลืมบอกไป ในการ์ดแต่งงานมีเขียนอยู่ที่มุมด้วยว่า "งานนี้งดแอลกอฮอล์" แม่นมั่นดีมั้ยล่ะ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น