“ที่นี่คือเมืองลูกโป่ง เรามีวิทยาการที่ไม่เหมือนใครคือ วิทยาการลูกโป่งที่บรรจุแก็สที่เบากว่าอากาศ ไม่ไวไฟและไม่เป็นพิษ เราเรียกแก๊สชนิดนี้ว่าแก๊สมู เราใช้ลูกโป่งเราใช้วิทยาการลูกโป่งนี้ในเกือบทุกสิ่งทุกอย่าง ทั้งบ้านเรือนตึกสูง ยานพาหนะรวมทั้งเก้าอี้สาธารณะ ทุกอย่างเราแขวนไว้กับลูกโป่ง”
ผีเสื้อตัวใหญ่ปีกสีแดงสดบินผ่านหน้าร้านขายโทรทัศน์ที่กำลังนำเสนอสารคดีเมืองลูกโป่ง มันไม่สนใจที่จะมองเข้าไปในร้าน ไม่สนใจจะมองภาพทิวทัศน์เมืองลูกโป่งภายในโทรทัศน์ ไม่สนใจที่จะฟังเสียง ไม่สนใจอะไรทั้งนั้น มันสนใจแต่สวนสาธารณะใหญ่ที่อยู่กลางเมืองเท่านั้น
ปีกทับทิมเป็นชื่อของผีเสื้อปีกสีแดงสดตัวนั้น ผีเสื้อกลางวันตัวค่อนข้างใหญ่มีปีกคู่หนึ่งสีแดงใสเงางามเหมือนกับสีของทับทิม ที่ปลายปีกคู่หลังทั้งสองข้างมีจุดสีดำขนาดไม่ใหญ่ไม่เล็กอยู่ข้างล่ะจุด
เจ้าปีกทับทิมเกิดในสวนสาธารณะเล็กๆแห่งหนึ่ง ที่นั่นมีเหล่าผีเสื้อและแมลงอยู่จำนวนหนึ่ง เหล่าผีเสื้อและแมลงที่นั่นมีทั้งชื่นชมมีทั้งอิจฉาปีกอันสวยงามของเจ้าปีกทับทิม มันเป็นผีเสื้อตัวเดียวในเมืองที่มีปีกสีแดงสดขนาดนี้ ไม่ใช่แค่ในสวนสาธารณะบ้านเกิดของมันเท่านั้น แต่เจ้าหัวเขียวแมลงปอจอมพเนจรที่ท่องเที่ยวไปมาแล้วทั่วเมืองลูกโป่งก็บอกกับมันเองว่า มันไม่เคยเห็นผีเสื้อหรือแมลงตัวใดในเมืองนี้ที่มีปีกสีสวยแบบเจ้าปีกทับทิมมาก่อน
เจ้าปีกทับทิมจึงภูมิใจในตัวเองมาก มันชอบที่จะได้รับฟังคำชมถึงความสวยงามของมัน และยังชอบฟังคำซุบซิบนินทามัน ถึงแม้คำเหล่านั้นจะเป็นคำที่ไม่ดีแต่เพราะผู้พูดยอมรับในความสวยงามของมันจึงเกิดความอิจฉามัน มันถือว่าคำเหล่านี้ก็เป็นคำชมของมัน
“เป็นปีกสีแดงที่สวยอะไรอย่างนี้”
“ทำไมฉันถึงไม่มีปีกที่แดงสวยแบบนั้นบ้างนะ”
“เชอะ! แค่มีปีกสีแดงก็คิดว่าตัวเองสวยกว่าคนอื่น”
“มีแค่ผีเสื้อพิการเท่านั้นล่ะที่มีปีกสีแดง”
คำพูดทำนองนี้ไม่ว่าจะดีหรือไม่ดีก็ตามก็เป็นสิ่งที่เจ้าปีกทับทิมอยากฟังทั้งนั้น แต่ยกเว้นเพียงเรื่องเดียว เรื่องเดียวที่เจ้าปีกทับทิมรู้สึกเป็นปมด้อยของมัน มันไม่ชอบจุดสีดำบนปีกของมัน มันรู้สึกสกปรกรู้สึกรังเกียจและไม่อยากให้ใครพูดถึงมัน เจ้าผีเสื้อจะรู้สึกหงุดหงิดทุกครั้งที่มีใครพูดถึงจุดสีดำบนปีกของมัน หรือแม้แต่เรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับมันแต่มีคำเกี่ยวกับจุดสีดำมันก็รู้สึกว่ามันกำลังโดนดูถูก
“ปีกไปเปื้อนอะไรมาหรือสาวน้อยเป็นจุดดำใหญ่เชียว”
“เป็นผีเสื้อหรือเป็นหมาดัลเมเชี่ยนกันถึงได้มีจุดด้วย”
“เธอต้นไม้ต้นนั้นมีแต่ใบเป็นจุดดำๆ มันเป็นโรคหรือเปล่า แล้วถ้าเรากินน้ำหวานของมันเราจะเป็นอะไรหรือเปล่า”
“รู้กันหรือเปล่าว่าบนดวงอาทิตย์นั่นมีจุดสีดำอยู่เต็มไปหมด เขาเรียกว่าจุดดับ”
คำประมาณนี้ไม่ว่าจะพูดถึงใคร ไม่ว่าใครจะเป็นคนพูดมันก็ทำให้ปีกทับทิมรู้สึกโกรธทั้งนั้น เพียงแต่ว่าปีกทับทิมยังคงรู้สึกว่าต้องรักษากริยาอันชวนมองสูงสง่าและสวยงามของตนเอาไว้เสมอ มันจึงไม่เคยแสดงอารมณ์โกรธเคืองหงุดหงิดกระฟัดกระเฟียดออกมาให้ใครได้เห็น และถึงแม้จะมีใครรู้ว่าเจ้าปีกผีเสื้อไม่ชอบให้ใครพูดถึงจุดดำบนปีกของตัวเอง แต่ก็ไม่รู้ว่าคำเหล่านี้เหมือนเป็นคำที่ทิ่มแทงใจของเจ้าปีกทับทิมอย่างรุนแรง ดังนั้นถึงจะมีใครเคยพูดแต่ก็แค่ครั้งหรือสองครั้งแล้วก็ไม่พูดอีก ไม่เช่นนั้นถ้ามีใครรู้แล้วพูดกระแนะกระแหนมันตลอดเวลามันอาจจะอยู่ที่นี่ต่อไปไม่ได้ก็ได้
วงจรชีวิตของผีเสื้อตั้งแต่เกิดเป็นจนกระทั่งตายนั้นมีอายุประมาณ 1 เดือน ตั้งแต่เป็นไข่ฟักออกมาเป็นตัวหนอน เจ้าตัวหนอนจะกินๆๆใบไม้เมื่อโตขึ้นก็ลอกคราบสักสี่ห้าครั้งแล้วก็ห่อตัวเองเป็นดักแด้ จากตัวหนอนกลมๆมีขา 6 คู่เมื่อเข้าไปอยู่ในดักแด้ขาหลังของมันก็จะหายสามคู่ ร่างกายแบ่งเป็นสามช่วงใหญ่ๆคือส่วนหัวหน้าอกและลำตัว และที่สำคัญช่วงเวลาที่มันอยู่ในดักแด้มันจะค่อยๆสร้างปีกของตัวเองขึ้นมาทีล่ะนิดๆ ถึงช่วงชีวิตของผีเสื้อจะยาวนานถึงเดือน แต่ช่วงชีวิตที่มันสามารถบินได้อย่างเป็นอิสระในอากาศนั้นอาจมีเพียง 1-2 สัปดาห์ หรืออาจเพียง 2-3 วันเท่านั้นในบางพันธุ์
ถึงแม้ว่ามันจะดูเป็นเวลาที่แสนสั้นนัก แต่กับผีเสื้อหรือแมลงเล็กๆแล้วมันอาจจะเป็นเวลาที่ยาวนานก็ได้ ไม่แน่ว่าเวลาหนึ่งวันของใครบางคนอาจยาวนานเป็นเดือนทีเดียวสำหรับผีเสื้อ
เจ้าทับทิมไม่เคยสนใจช่วงชีวิตของผีเสื้ออะไรนั่น มันเพียงสนใจคำชื่นชมความสวยงามของมันเท่านั้น มันจำได้ว่าตั้งแต่วันแรกที่มีออกมาจากดักแด้ มันก็ได้ยินคำเหล่านี้แล้ว มันเป็นเหมือนอาหารสำหรับชีวิตเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้ชีวิตของมันดำรงอยู่ได้
มันจำได้ว่าวันแรกที่มันออกมาจากดักแด้ มันค่อยๆใช้ขาดับเปลือกดักแด้ออกแล้วก็มายืนเกาะพักที่กิ่งไม้ใกล้ๆ ตอนนั้นถึงแม้ปีกของมันจะยังไม่แข็งแรงพอที่จะบินหรือแม้แต่จะสยายกางออกได้อย่างเต็มที่ แต่สีสันของปีกคู่นั้นก็แดงเฉิดฉายตั้งแต่แรกอยู่แล้ว เหล่าแมลงผีเสื้อที่บินผ่านไปมาเมื่อได้เห็นปีกคู่นั้นก็พากันหยุดชื่นชม แต่ละตัวต่างกล่าวถึงความสวยงามของปีกคู่นั้นไปต่างๆนานา ถึงขนาดมีบางตัวบอกว่า
“ราชินีแห่งผีเสื้อได้กำเนิดขึ้นมาแล้ว”
เจ้าปีกทับทิมได้ยินทุกคำ ระยะเวลาที่ผีเสื้อจะรอให้ปีกแข็งแข็งแรงพอที่จะบินได้นั้นประมาณ 1 ชั่วโมง ใน 1 ชั่วโมงนั้นเหล่าผีเสื้อและแมลงทั้งหลายต่างก็มารุมล้อมดูเจ้าผีเสื้อกันจนเกือบหมดทั้งสวนสาธารณะเล็กๆแห่งนั้น หรืออาจจะเป็นเพราะเหตุนี้จึงทำให้เจ้าปีกทับทิมมีความมั่นใจในความสวยงามของตัวเองนัก
สวนสาธารณะที่เจ้าปีกทับทิมอาศัยอยู่จัดว่าเป็นสวนสาธารณะขนาดเล็กมาก ภายในสวนถูกจัดขึ้นโดยเน้นความร่มรื่น ไม่มีการนำวัสดุแปลกปลอมใดๆที่ไม่ใช่สิ่งของตามธรรมชาติเข้าไปใส่ไว้ในสวน ไม่มีร้านขายของ ไม่มีโต๊ะ ไม่มีม้านั่ง ทางเดินเป็นผืนหญ้า โต๊ะที่นั่งก็เป็นผืนหญ้า อาหารว่างก็คือเหล่าผลไม้สดที่สุกฉ่ำอยู่บนต้น ผู้คนที่อาศัยในเมืองรวมถึงเหล่าผีเสื้อแมลงและสิ่งมีชีวิตอื่นๆต่างพอใจกับสภาพแวดล้อมที่เป็นอยู่ตอนนี้ แต่ในจำนวนนั้นไม่ได้นับรวมเจ้าปีกทับทิมเข้าไปด้วย
นอกจากน้ำหวานจากต้นไม้ที่ใช้ในการดำรงชีวิตแล้ว เจ้าปีกทับทิมก็ต้องการเพียงแต่คำชื่นชมเท่านั้น มันไม่สนใจกับสภาพแวดล้อมใดๆ เหมือนกับว่าชีวิตของมันดำรงอยู่ได้ด้วยปัจจัยเพียงสองอย่างเท่านั้น และถ้าขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไปก็อาจจะทำให้มันอยู่ไม่ได้
ถึงแม้ว่าจะเป็นเรื่องน่าตื่นเต้นที่มีผีเสื้อปีกสีแดงกำเนิดขึ้น แต่มันก็เป็นเพียงปรากฏการณ์เล็กๆอย่างหนึ่งเท่านั้น เหล่าผีเสื้อและแมลงอาจจะมีความตื่นเต้นอยู่บ้างในช่วงแรก แต่ไม่นานมันก็เริ่มชินกับภาพผีเสื้อปีกสีแดงบินไปมาในสวนสาธารณะ
คำชื่นชมเจ้าปีกทับทิมเริ่มหายไปทีละน้อยตามกาลเวลา ตรงข้ามกับคำกระแนะกระแหนจากความหมั่นไส้เจ้าปีกทับทิมกลับมากขึ้นๆ จนสุดท้ายปัจจัยในการดำรงชีวิต 1 ใน 2 อย่างก็หมดไป มันไม่สามารถอยู่ที่นี่ได้อีกต่อไปแล้ว
“ยังมีคนอื่นหรอก ที่รู้คุณค่าความสวยงามของชั้น”
เจ้าผีเสื้อบินออกจากสวนสาธารณะในตอนบ่าย มันบินไปเรื่อยๆเลาะไปตามบ้านเรือนร้านค้า
ที่เมืองแห่งนี้นอกจากลูกโป่งแล้ว สิ่งที่มีความเป็นพิเศษอีกอย่างหนึ่งก็คือ “ไม้” ที่ใช้ในการสร้างบ้านเรือนและอาคารต่างๆ
“มูวู๊ด”เป็นไม้มีชีวิต ไม้แบบอื่นเมื่อตัดออกจากต้นนำมาแปรรูปเป็นไม้ที่ใช้ในการก่อสร้างไม้นั้นจะเป็นไม้ที่ตายแล้ว แต่มูวู๊ดเป็นไม้ที่มีชีวิต ถึงแม้จะผ่านการตัดแต่งแปรรูปต่างๆนานาแต่มันก็ยังคงมีชีวิต มันพร้อมที่จะผลิใบ ออกดอก ออกผลได้เหมือนต้นไม้ทั่วไป เพียงแต่มันจะไม่เติบโตขึ้น และไม่มีการแตกกิ่ง
ไม้มูวู๊ดผ่านกรรมวิธีการเพาะพิเศษที่คิดค้นโดยด็อกเตอร์มู ไม้มูวู๊ดมีคุณสมบัติพิเศษคือการรักษาแผล เหมือนกับต้นไม้ทั่วไปที่เป็นแผลมันจะสร้างเนื้อเยื่อขึ้นมาผสานแผลนั้น ให้เนื้อไม้นั้นกลายเป็นเนื้อเดียวกันอีกครั้ง ไม้มูวู๊ดก็เช่นกันเมื่อก่อสร้างเสร็จให้รดน้ำยาพิเศษลงไป มูวู๊ดจะเริ่มมีชีวิตอีกครั้งมันจะเริ่มผสานไม้ให้กลายเป็นเนื้อเดียวกัน หลังจากนั้นก็จะเริ่มผลิใบและออกดอก,ผลตามฤดูกาล ในส่วนที่ไม่ต้องการให้มูวู๊ดเติบโตผลิใบออกดอกก็ให้ทาด้วยสีพิเศษเท่านั้น
เพราะตึกอาคารบ้านเรือนในเมืองลูกโป่งมีความร่มรื่นเช่นนี้ เมืองทั้งเมืองคล้ายกับเป็นสวนป่า ดังนั้นการที่จะมีนกหรือแมลง บินไปมาก็ไม่ใช่เรื่องแปลก หรือหากจะมีผีเสื้อแปลกๆสีแดงบินผ่าน ก็คงไม่เป็นจุดสนใจมากนัก
เจ้าปีกทับทิมบินผ่านบ้านเรือน อาคารร้านค้า ผ่านร้านตัดผม ผ่านธนาคาร ร้านขายโทรทัศน์ และนั่นที่เห็นอยู่ไกลๆนั่นคือสวนสาธารณะกลางเมืองบ้านใหม่ของมัน
ทางที่มันบินมาเป็นทางด้านหลังของสวนสาธารณะ มันบินข้ามพุ่มไม้สูงที่ถูกตัดแต่ให้เป็นกำแพงของสวนสาธารณะ หลังกำแพงพุ่มไม้คือสวนสาธารณะที่เต็มไปด้วยทุ่งดอกไม้ มีม้านั่งลอยอยู่เป็นระยะๆ มีร้านค้า มีสระน้ำเล็กใหญ่กระจายกันไป มันเป็นสวนสาธารณะที่น่ารื่นรมย์อะไรอย่างนี้
แต่สิ่งเหล่านั้นไม่ได้อยู่ในสายตาของเจ้าปีกทับทิม สิ่งที่มันมองหาคือฝูงผีเสื้อหรือแมลงอะไรก็ได้ที่รวมตัวอยู่กันเป็นฝูง เพื่อที่มันจะได้บินเข้าไปโชว์ตัว มันอยากให้การปรากฏตัวครั้งแรกของมัน ต้องเป็นที่พบเห็นของเหล่าแมลงจำนวนมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่มันมองหาเท่าไหร่ๆก็ไม่เจอสักที
ที่จริงไม่ใช่ว่าไม่มีผีเสื้อหรือว่าแมลงอาศัยอยู่ในสวนสาธารณะแห่งนี้เลย เพียงแต่สวนสาธารณะมีขนาดกว้างใหญ่เกินไป ใหญ่กว่าสวนสาธารณะเดิมของเจ้าปีกทับทิมหลายเท่าทีเดียว เพราะอย่างนั้นจึงทำให้เหล่าแมลงกระจายกันหากินได้อย่างเต็มที่ ไม่ต้องเบียดเสียดกระจุกตัวหากินเหมือนอย่างสวนสาธารณะเล็กๆของมัน
เจ้าผีเสื้อยังคงบินไปเรื่อยๆ ตาก็มองหาฝูงแมลง จนในที่สุดมันก็บินมาถึงใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง ข้างๆต้นไม่มีม้านั่งสีขาวลอยอยู่ตัวหนึ่ง ที่ม้านั่งไม่มีใครนั่งอยู่
นวัตกรรมที่ทำให้การใช้ลูกโป่งในเมืองนี้มีความสมบูรณ์ก็คือ “เครื่องรักษาสมดุลของลูกโป่ง” หรือ “บอลลูนบาล๊านส์เซอร์” หรือเรียกสั้นๆว่า “บีบี”
เพราะก๊าสมูสามารถสังเคราะห์ได้จากอากาศทั่วไปๆ จึงทำให้สามารถผลิตก๊าสมูได้ทุกที่ทุกเวลา บีบี หรือบอลลูนบาล๊านส์เซอร์ คือเครื่องที่ใช้สังเคราะห์ก๊าสมูนั่นเอง
ลูกโป่งก๊าสมูก็เป็นเพียงลูกโป่งธรรมดาที่มีผิวลูกโป่งหนาพิเศษ ทนทานต่ออากาศ ไฟและสารเคมีเป็นพิเศษ แต่เรื่องของการกักเก็บแก๊สก็ยังคงเป็นเหมือนลูกโป่งทั่วๆไป ที่แก๊สมีโอกาสที่จะซึมหายไปได้ ซึ่งนั่นจะทำให้ความดันแก๊สลดลง อาจทำให้ของที่แขวนอยู่กับบอลลูนตกลงมาสู่พื้นได้ ถ้าเป็นอุปกรณ์เครื่องเรือนเล็กๆอย่างโคมไฟ โต๊ะ ตู้ หรือม้านั่งก็อาจจะไม่มีปัญหาเท่าไหร่ แต่ที่เมืองบอลลูนแห่งนี้แม้แต่ถึงรามบ้านช่องก็ถูกแขวนไว้กับลูกโป่งทั้งสิ้น
บอลลูนบาล๊านส์เซอร์เป็นเครื่องควบคุมความดันแก๊สมูอัตโนมัติ บีบีแต่ละตัวจะถูกกำหนดไว้ใช้กับสิ่งของต่างๆกันไป มันจะถูกตั้งโปรแกรมให้สร้างแก๊สมูให้เหมาะสมกับลูกโป่ง เหมาะกับน้ำหนักของสิ่งที่จะแขวน ถูกตั้งให้รักษาระดับความสูงของการลอยของลูกโป่ง บีบีจะคอยสังเคราะห์แก๊สมูส่งไปตามท่ออัดเข้าไปในลูกโป่ง จึงทำให้ลูกโป่งในเมืองนี้ยังคงลอยอยู่ได้ตลอดเวลา
ม้านั่งสีขาวแขวนไว้กับลูกโป่งสองใบ โดยลูกโป่งจะผูกโยงกับเท้าแขนทั้งสองข้าง ส่วนข้างใต้ของเก้าอี้จะมีโซ่ผูกอยู่ตรงกึ่งกลางล่ามไว้กับพื้นเพื่อกันไม่ให้เก้าอี้ลอยหายไปหากเกิดลมพัดแรงๆ
การติดตั้งลูกโป่งให้กับม้านั่งนั้นจำเป็นที่จะต้องมีอย่างน้อยสองลูก เพราะหากเกิดมีใครมานั่งม้านั่งข้างใดข้างหนึ่งเก้าอี้จะได้ไม่เอนล้ม เพราะเมื่อเกิดการเสียสมดุลของม้านั่งเพียงเล็กน้อย บีบี หรือเครื่องรักษาสมดุลก็จะเร่งผลิตแก๊สมูฉีดเข้าไปในลูกโป่งข้างที่รับแรงทันที และเมื่อกลับสู่ภาวะปกติ บีบี ก็จะระบายแก๊สออกจากลูกโป่งอัตโนมัติ
แต่เรื่องเหล่านี้เจ้าปีกทับทิมไม่เคยรู้และไม่มีความคิดอยากที่จะรู้ด้วย มันรู้เพียงแต่ว่าตอนนี้มันเริ่มเหนื่อย และรู้สึกหิวแล้ว มันจำได้ว่ามันออกจากสวนสาธารณะเดิมตอนพระอาทิตย์อยู่ตรงกลางท้องฟ้าพอดี กว่ามันจะบินมาถึงที่นี่มันก็ไม่เห็นดวงอาทิตย์ลอยอยู่บนฟ้าแล้ว ยังคงมีแค่แสงสีขาวส่องสว่างไปทั่วฟ้าเท่านั้น ซึ่งตลอดเวลาที่มันเดินทางมันไม่ได้กินอะไรอีกเลย และถ้าแสงจากดวงอาทิตย์หายไปเมื่อไหร่มันก็จะต้องนอนหิวทั้งคืน เพราะมันมองไม่เห็นในเวลากลางคืน ดังนั้นตอนนี้มันต้องรีบหาน้ำหวานกินก่อน ส่วนเรื่องการโชว์ตัวเอาไว้ค่อยพรุ่งนี้เช้าก็ได้
เมื่อตัดสินใจได้เจ้าปีกทับทิมก็บินไปยังต้นไม้ใหญ่ มันคิดที่จะบินขึ้นไปกินน้ำเลี้ยงบนต้นไม้
“มีแต่ผีเสื้อตัวผู้เท่านั้นที่หากินน้ำหวานบนพื้น”
มันเริ่มบินสูงขึ้นๆเพื่อหารอยแผลของต้นไม้ที่มีน้ำเลี้ยงไหลออกมา แต่ในขณะที่มันบินอยู่นั้นมันก็คิดอะไรบางอย่างออก
เจ้าผีเสื้อคิดว่าตอนนี้มันบินขึ้นมาสูงแค่ไหนแล้ว ถ้าหากมันบินขึ้นไปบนฟ้าให้สูงๆ ถ้ามันบินอยู่บนฟ้าสูงๆ ไม่ว่าใครอยู่ตรงไหนในสวนสาธารณะก็จะมองเห็นมันได้ ถึงแม้อาจจะเล็กจนไม่รู้ว่าใครเป็นเจ้าของปีกสีแดงสดแสนงามคู่นี้ แต่เมื่อถึงเวลาเช้าแมลงทุกตัวก็จะออกตามหาปีกสีแดงแสนสวยของมัน
ปีกทับทิมคู่นั้นยังคงกระพือไม่ยอมหยุด มันพยายามส่งตัวเองให้บินขึ้นไปสูงที่สุด มันลืมเรื่องอาหารและความเหนื่อยล้าในตอนแรกไปเสียสนิท ทั้งๆที่ตัวมันเองไม่เคยอดอาหารหรือใช้แรงมากขนาดนี้มาก่อน
ถึงใจจะสู้เพียงใด แต่ร่างกายของมันส่งสัญญาณเตือนว่ามันอ่อนแรงเต็มทีแล้ว ถึงมันจะพยายามกัดฟันกระพือปีก แต่ร่างกายก็เหมือนไม่ยอมฟังคำสั่งเอาเสียเลย ปีกทั้งสองข้างของมันกระพือช้าลงๆจนเหมือนกับมันจะหยุดเคลื่อนไหวในไม่ช้า
“เราบินขึ้นมาสูงแค่ไหนแล้วนะ”
แสงอาทิตย์สีขาวหายไปเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ถึงแม้ท้องฟ้าจะไม่ถึงกับมืดสนิทเสียทีเดียว แต่มันก็สลัวเลือนรางเต็มที ตอนนี้เจ้าปีกทับทิมมองไม่เห็นแล้วว่ามันบินขึ้นมาสูงถึงขนาดไหนแล้ว มันได้แต่ถามตัวเองในใจว่ามันบินขึ้นมาสูงแค่ไหนแล้วนะ
ในความรู้สึกของมันบอกว่ามันบินมานานมากแล้ว มันคงบินขึ้นมาสูงมากแล้วแน่ๆ ทั้งๆที่ความจริงปีกที่อ่อนแรงของมันไม่สามารถพามันบินขึ้นไปบนฟ้าให้สูงได้เท่าไรนัก
ทันใดนั้นเจ้าปีกทับทิมก็รู้สึกว่ามีแสงแปลกๆสว่างวาบขึ้นมาที่ด้านหลังของมัน ตาของผีเสื้อกลางวันนั้นจะมีความไวต่อแสงเป็นพิเศษ อย่าว่าแต่เป็นของที่มีแสงสว่างขนาดนี้เลย ถึงเป็นของที่ไม่มีแสงแต่ถ้ามีการเคลื่อนที่แม้แต่น้องเจ้าผีเสื้อก็จะรู้สึกตัวทันที
แต่นี่มันไม่รู้สึกตัวมาก่อนเลยว่าข้างหลังมันมีของที่สามารถส่องแสงได้ลอยอยู่ ถึงแม้มันจะมุ่งมั่นกับการบินเพียงใดแต่ก็ไม่น่าจะถึงกับไม่สังเกตว่ามีวัตถุแบบนี้ลอยอยู่ มันคืออะไรล่ะ มันค่อยๆกันหลังกลับไปมองอย่างระมัดระวัง
“พระจันทร์!?”
Be continue...
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น