“พระจันทร์!?”
วัตถุทรงกลมส่องแสงสีเหลืองนวลลอยอยู่ข้างหลังของเจ้าปีกทับทิม เจ้าปีกทับทิมตื่นเต้นดีใจอย่างบอกไม่ถูก มันบินขึ้นมาถึงดวงจันทร์แล้ว
ที่จริงผีเสื้อกลางวันอย่างเจ้าปีกทับทิมไม่รู้จักพระจันทร์หรอก เพราะเมื่อถึงตอนกลางคืนพวกมันก็จะบินไปหาที่ๆปลอดภัยเกาะ สายตาของพวกมันมองไม่เห็นในเวลากลางคืน
แต่เจ้าปีกทับทิมก็รู้ว่าบนโลกนี้มีของที่ชื่อว่าพระจันทร์อยู่ด้วยเป็นเพราะเช้าตรู่วันหนึ่งมันมีโอกาสได้คุยกับผีเสื้อกลางคืนตัวหนึ่ง มันเล่าให้ฟังว่าตอนกลางคืนจะมีพระจันทร์ พระจันทร์เป็นลูกกลมๆส่องแสงสีเหลืองนวล ลอยอยู่สูงขึ้นไปบนท้องฟ้า
“พระจันทร์เป็นสิ่งที่สวยงามเท่าสุดเท่าที่ฉันเคยเห็นมา”
เจ้าปีกทับทิมรู้จักพระจันทร์และรู้สึกไม่ชอบพระจันทร์ในเวลาเดียวกัน มันรู้สึกโกรธและอิจฉาพระจันทร์ขึ้นมาทันที ในเมื่ออยู่ต่อหน้ามันซึ่งเป็นผีเสื้อที่มีปีกสีแดงสด ผีเสื้อที่สวยที่สุดในเมืองลูกโป่ง แต่เจ้าผีเสื้อกลางคืนยังกลับชื่นชมพระจันทร์โดยไม่เห็นมันอยู่ในสายตา
“คิดว่าจะอยู่สูงสักแค่ไหน ที่แท้ก็เท่านี้เอง อยู่แค่ตรงนี้ฉันจะบินขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ได้เหมือนกัน”
ทั้งๆที่คิดอย่างนั้นแต่มันก็รู้สึกตัวว่ามันต้องใช้แรงมากเหลือเกินกว่าที่ตัวเองจะบินขึ้นมาได้ถึงขนาดนี้
แต่อย่างน้อยตอนนี้มันก็บินขึ้นมาถึงแล้ว บินขึ้นมาสูงจนเท่าพระจันทร์ อยู่ที่เดียวกับพระจันทร์ แสดงว่ามันอยู่ในที่ๆใครก็สามารถมองเห็นมันได้เหมือนกับที่มองเห็นพระจันทร์
“มาเทียบกันดูซิว่าใครจะสวยกว่ากัน”
เจ้าผีเสื้อคิด มันพยายามแข่งความสวยของตัวมันกับพระจันทร์โดยมีตัวมันเองเป็นกรรมการ
ผีเสื้ออย่างชั้นมองเห็นได้ในเวลากลางวัน แต่พระจันท์มองเห็นได้เฉพาะตอนกลางคืนเท่านั้น แต่ตอนกลางคืนสิ่งมีชีวิตส่วนใหญ่ก็หลับกันหมดแล้ว ดังนั้นผีเสื้อจึงสามารถอวดความสวยงามให้กับสิ่งมีชีวิตอื่นๆได้ชื่นชมได้มากกว่า สรุปข้อนี้ชั้นชนะ
“ข้อต่อไป บุคลิก”
ปกติผีเสื้อมักจะบินอย่างนุ่มนวลอยู่แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวของชั้นยิ่งบินได้อย่างภูมิฐานตลอดมา เพราะชั้นต้องดูแลบุคลิกอันสูงสง่าของชั้นตลอดเวลา... ส่วนพระจันทร์ถึงแม้จะลอยอยู่บนฟ้าเฉยๆแต่ก็...ดูมีเสน่ห์ไม่ธรรมดาเหมือนกัน เอาเป็นว่าข้อนี้เสมอกัน
ข้อต่อไป พระจันทร์สามารถส่องแสงสว่างไสวนุ่มนวลตา ดูมีชีวิตชีวาเหลือเกิน แล้วผีเสื้ออย่างชั้นล่ะนี่ชั้นเป็นผีเสื้อนะไม่ใช่หิ่งห้อยที่จะส่องแสงได้...
แต่เอ๊ะไม่ใช่สิ ถึงแม้พระจันทร์จะดูมีชีวิตชีวา แต่มันก็ไม่ได้มีชีวิตจริงๆ ชั้นเสียอีกที่มีชีวิตสามารถบินไปไหนมาไหนได้ การบินของชั้นดูมีชีวิตชีวามากกว่าเสียอีก ว่าแล้วมันก็เริ่มบินวนไปรอบๆพระจันทร์สีเหลือดวงนั้น เหมือนกับจะให้พระจันทร์เห็นว่ามันบินได้อย่างมีชีวิตชีวาแค่ไหน
มันบินวนรอบพระจันทร์รอบแล้วรอบเล่าอย่างลืมเหนื่อย มันรู้สึกว่ามันกำลังเป็นผู้ชนะ ถึงแม้ว่าวันจะยังไม่ชนะเสียทีเดียวแต่ตอนนี้คะแนนของมันนำอยู่
เจ้าปีกทับทิมยังบินวนรอบพระจันทร์ แต่แล้วอยู่ๆมันก็หยุดบิน มันเพียงกระพือปีกประคองตัวเองให้ลอยอยู่อย่างนั้น ในใจรู้สึกเวิ้งว้างหนาวเยือกอย่างบอกไม่ถูก มีบางอย่างที่มันนึกขึ้นมาได้
ข้อสุดท้ายในการตัดสินที่ที่จริงมันก็ไม่อยากคิด แต่ใจของมันคิด ใจของมันร่ำร้องและตัดสินผู้แพ้ชนะอย่างรวดเร็วโดยที่มันห้ามไม่ได้ ข้อสุดท้ายเรื่องของสี
ถึงแม้ว่าจะเป็นสีโทนร้อนด้วยกันทั้งคู่ แต่กับผู้ที่พบเห็นสีแดงมักจะดึงดูดสายตามากกว่าสีเหลือง ถ้าไม่นับว่าสีเหลืองนั้นส่องแสงสว่างไสวในยามค่ำคืน เพราะสีแดงทับทิมของมันก็เจิดจ้าที่สุดในยามกลางวันเช่นกันเพียงแต่...
เพียงแต่ตอนที่มันบินวนรอบพระจันทร์นั้น มันรู้สึกว่าสีเหลืองนวลของพระจันทร์นั้นช่างไร้ที่ติ มันเป็นพระจันทร์ที่มีสีเหลืองปลอดทั้งดวง ต่างจากมันที่แม้จะมีปีกสีแดงสดคู่ใหญ่ แต่ในปีกนั้นกลับมีจุดสีดำสกปรกแต้มอยู่
จุดสองจุดที่เป็นตัวทำลายความภาคภูมิใจทั้งชีวิตของเจ้าผีเสื้อ มันพยายามที่จะไม่นึกถึง แม้แต่เมื่อกี้มันก็พยายามคิดข้ามข้อนี้ไป แต่ตอนที่มันบินวนรอบพระจันทร์มันก็อดเหลียวมองหาตำหนิของพระจันทร์ไม่ได้ ที่จริงมันมองเพื่อความสบายใจของตัวเอง พระจันทร์มีขนาดใหญ่กว่ามันต้องหลายสิบเท่าย่อมน่าจะมีตำหนิมากกว่า แต่ผิดคาดมันบินวนอยู่หลายรอบแต่ก็ไม่เห็นร่องรอยด่างดวงใดอยู่บนพระจันทร์ นอกจากท่อเล็กๆที่ติดอยู่ด้านล่างของพระจันทร์ซึ่งนั่นก็เป็นเพียงแค่อวัยวะส่วนหนึ่ง เหมือนกับที่มันมีลำตัวมีหัวยื่นออกมา ซึ่งไม่นับว่าเป็นตำหนิของความสวยงาม ถ้านับมันก็มีมากกว่าพระจันทร์เสียอีก
ไม่มีข้ออ้างอะไรอีก เพียงเรื่องเดียวเท่านั้นที่มันไม่อยากจะแพ้ แต่มันก็แพ้ เจ้าปีกทับทิมกระพือปีกช้าๆประคองตัวเองอยู่อย่างนั้นมาตั้งแต่เมื่อครู่แล้ว ดูมันช่างสงบนิ่งต่างจากภายในหัวใจของมัน ที่ความรู้สึกอันยากจะบรรยายต่างถาโถมกระหน่ำหัวใจของมัน....
ผ่านไปเนิ่นนานเจ้าผีเสื้อเริ่มเคลื่อนไหว มันกระพือปีกอันอ่อนล้าของมันแรงที่สุดเท่าที่มันจะทำได้ มันบินพุ่งเข้าไปหาพระจันทร์ดวงนั้นอย่างแรง เจ้าปีกทับทิมบินเข้าชนกับพระจันทร์ครั้งแล้วครั้งเล่าโดยไม่สนใจต่อความเจ็บปวด เพราะตอนนี้หัวใจของมันเจ็บปวดยิ่งกว่า
เจ้าผีเสื้อบินเอาปีกสีแดงคู่งามของมันถูไปกับผิวของพระจันทร์ ครั้งแล้วครั้งเล่า ในใจของมันรู้สึกเคียดแค้นอย่างบอกไม่ถูก มันคิดเพียงแต่ว่าในเมื่อพระจันทร์สีเหลืองนี้ไร้ตำหนิ มันก็จะสร้างตำหนิให้กับพระจันทร์เอง
ทุกครั้งที่บินชนพระจันทร์ เกล็ดเล็กละเอียดสีแดงบนปีกของเจ้าผีเสื้อก็จะหลุดติดออกติดไปกับพระจันทร์นั้น พระจันทร์สีเหลืองเริ่มมีสีแดงปรากฏขึ้นเป็นหย่อมๆบนพื้นผิว แต่ก็ดูเบาบางจนแทบจะมองไม่เห็น
ผิดกับปีกของเจ้าผีเสื้อ ที่เกล็ดสีบนปีกของมันเริ่มน้อยลงๆ สีแดงสดบนปีกของมันค่อยๆจางลงกลายเป็นสีชมพู แม้แต่จุดสีดำสองจุดก็เริ่มกลายเป็นสีเทาและค่อยๆเลือนหายไป จนสุดท้ายปีกของเจ้าปีกทับทิมก็ไม่มีสีแดงและสีดำอีกต่อไป
ผีเสื้อกลางวันปีกสีขาวตัวหนึ่ง กางปีกปล่อยตัวเองให้ล่องไปกับลมค่อยๆร่วงหล่นลงสู่พื้น ร่างกายของมันบอบช้ำและไม่หลงเหลือเรี่ยวแรงอีกต่อไป มันทั้งเหนื่อยทั้งเจ็บปวดและอ่อนล้า แต่ในใจมันกลับสงบนิ่งอย่างประหลาด
เจ้าผีเสื้อไม่มีจุดสีดำสกปรกติดอยู่บนปีกอีกต่อไป มันไม่ต้องอับอายไม่ต้องคอยปกปิดจุดสีดำนั้นอีก ไม่ต้องกลัวใครจะเห็นปมด้อยของมัน
เจ้าผีเสื้อไม่มีปีกสีแดงสีทับทิมที่สวยงามน่าภาคภูมิใจคู่นั้นอีก มันไม่มีศักดิ์ศรีใดที่ต้องปกป้องอีก ไม่รู้ว่าใครหยิบยื่นศักดิ์ศรีนั้นมาให้กับมัน มันไม่รู้ว่ามันควรปกป้องศักดิ์ศรีนั้นหรือไม่ ไม่รู้ว่าต้องปกป้องเพื่อใครเพื่อตัวของมันเองจริงหรือ คำถามที่ไม่อาจตอบและตอนนี้มันก็ไม่คิดที่จะหาคำตอบ มันเพียงรู้สึกว่าเวลานี้มันช่างสบายเหลือเกิน ช่างมีความสุขเหลือเกิน เวลาที่ผ่านมามันช่างเหนื่อยกับสิ่งที่ทำไป แต่ตอนนี้มันกลับรู้สึกดีใจว่าในที่สุดมันก็ได้พบความสุขที่แท้จริงในเวลาสุดท้ายของชีวิต
“สุสานผีเสื้อปีกขาวเป็นปรากฏการณ์ประหลาดที่มีแต่ในเมืองลูกโป่งเท่านั้น และมีอยู่ที่สวนสาธารณะกลางเพียงแห่งเดียวเท่านั้น ที่ม้านั่งสีขาวที่ลูกโป่งแก๊สเรืองแสงสีเหลืองลูกทางขวา มักจะมีผีเสื้อบินมาฆ่าตัวตาย ด้วยการใช้ปีกของมันป้ายเกร็ดสีบนปีกของตัวเองกับลูกโป่งจนเหลือแต่ปีกเปล่าๆไร้สี แต่กว่ามันจะป้ายเกร็ดจนหมดมันก็ต้องเจ็บปวดและเหนื่อยล้าจนตาย เป็นเหมือนกับเป็นการชำระจิตใจก่อนการกลับสู่สวรรค์ของเหล่าผีเสื้อ”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น