เคยไปงานแต่งงานของใครแล้วรู้สึกประทับใจบ้างมั้ย
ประทับใจอะไรกับงานแต่งงานนั้น
เจ้าบ่าวหล่อ เจ้าสาวสวย จัดในโรงแรมห้าดาว อาหารเมนูฮ่องเต้ แขกผู้ร่วมงานเรือนหมื่น ฯลฯ
ผมก็เคยไปงานแต่งงานงานหนึ่ง แขกร่วมงานมีไม่ถึงร้อยคน งานจัดในโรงพละของโรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่ง อาหารเป็นโต๊ะจีนราคาถูก กระเพาะปลาปลอม รอบๆตั้งพัดลมตัวใหญ่ 6-7 ตัว พัดไม่ทั่วถึง เจ้าสาวไม่สวย เจ้าบ่าวก็ไม่หล่อ แต่เป็นงานแต่งงานที่น่ารักอย่างบอกไม่ถูก
ก็เหมือนงานแต่งงานทั่วๆไปที่เจ้าบ่าวเจ้าสาวออกมายืนต้อนรับแขกหน้างาน ผมไปงานแต่งงานในฐานะเพื่อนของเพื่อนเจ้าบ่าว ซึ่งก็คือไม่รู้จักกับทั้งเจ้าบ่าวและเจ้าสาว
บรรยากาศงานทั้งอับทั้งร้อน แค่ดูน้ำจิ้มที่วางอยู่บนโต๊ะ จานชามช้อนส้อมก็พอเดาได้ว่า อาหารก็น่าจะแค่พอประทังชีวิต แขกแต่ละโต๊ะคุยกันเสียงดัง เหมือนงานโต๊ะจีนศาลเจ้า ตอนแรกคิดว่าขอแค่บรรลุ 2 เรื่องก็จะกลับ
เรื่องแรกคือขอให้กินอิ่มให้สมกับที่เสียเวลาก่อน และอีกเรื่องคือ ขอแค่ให้รู้ว่าไอ้รถมอเตอร์ไซค์เก่ากึ๊กที่ตั้งอยู่บนเวทีนั่นมันคืออะไร
มอเตอร์ไซค์สีแดง รุ่นเก่าประมาณ 20 ปีที่แล้วตั้งอยู่ริมฝั่งซ้ายของเวที ตั้งอยู่อย่างนั้นเพียงคันเดียว นอกจากนั้นบนเวทีก็ไม่มีอะไรอีก นอกจากฉากหลังที่เป็นโฟมตัดเป็นรูปหัวใจ กับโฟมที่ตัดเป็นชื่อของเจ้าบ่าวเจ้าสาว เหมือนกับงานแต่งงานทั่วๆไป
งานแต่งงานดำเนินไปเหมือนกับทั่วๆไป พออาหารจานที่ 2 ถูกยกมาเสิร์ฟ ไฟบนเวทีก็ค่อยๆหรี่ลง
“อย่างกับฉายหนัง”
คิดอย่างประชดประชัน มันจะเรื่องมากอะไรกันนักกันหนา คนจะรีบกินรีบกลับ ต้องมาดูโชว์อะไรอีก ถ้าจะจ้างโชว์อะไรไร้สาระมาให้ดู เอาตังค์ไปซื้ออาหารที่มันเข้าท่ากว่านี้ดีกว่า
ถึงคิดอย่างนั้นแต่ตาก็ยังจ้องบนเวทีรอดูว่าจะมีอะไรให้ดู
เจ้าบ่าวกับเจ้าสาวออกมาจากฝั่งขวาของเวที ในมือถือไมค์ลอยคนล่ะอัน เดินมาหยุดยืนอยู่กลางเวทียกมือไหว้แขกที่อยู่ข้างล่าง แขกก็วางตะเกียบกันแทบไม่ทัน เสียงปรบมือตังกระปลิดกระปอย แต่ไฟยังไม่เปิดขึ้น
พอเสียงปรบมือหยุดลง เจ้าบ่าวกับเจ้าสาวก็เดินไปที่มอเตอร์ไซค์สีแดงเก่าคร่ำคนนั้น แล้วไฟก็ค่อยๆเปิดสว่างขึ้น เจ้าบ่าวกับเจ้าสาวผลัดกันขึ้นผลัดกันลงมอเตอร์ไซค์คันนั้น แล้วก็พูดบทที่เหมือนกับท่องเอาไว้ไปเรื่อยๆ
ตอนแรกเจ้าบ่าวขึ้นก่อน แล้วก็บอกประมาณว่า
“คนเราเมื่อเดินทางมาถึงเวลาหนึ่ง (เดินทางโดยขี่มอเตอร์ไซค์) เราอาจจะพบเจอใครคนหนึ่งที่เรารู้สึกว่าไปกับเราได้”
เจ้าสาวขึ้นมานั่งซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์
“เราอาจจะชวนเค้ามาร่วมเดินทางไปกับเรา (โดยการขี่มอเตอร์ไซค์)”
เจ้าบ่าวเจ้าสาวลงจากมอเตอร์ไซค์ แลกที่กับเจ้าสาวเป็นคนขี่ เจ้าบ่าวซ้อนท้าย
“ถ้าคุณจะเลือกใครสักคนที่จะเดินทางไปกับคุณ คุณจะเลือกคนแบบไหน แต่กับเรา เราเลือกคนที่ช่วยเหลือและทดแทนกันได้ในเวลาที่ใครอ่อนแรง”
เนื้อเรื่องน่าสนใจพอใช้ได้ แต่ตัวแสดงแข็งเหลือเกิน ทั้งเจ้าบ่าวเจ้าสาวแสดงเหมือนตัวประกอบหน้าใหม่มากกว่าตัวเอก
ดูได้แค่นั้นผมก็ไม่สนใจดูอีก ผมนั่งคีบอาหารกินอย่างรวดเร็ว ผมรู้แล้วว่ามอเตอร์ไซค์ใช้ทำอะไร ซึ่งมันน่าผิดหวังอย่างบอกไม่ถูก เวลาตอนนี้ผมก็แค่กินให้อิ่มแล้วก็ลากเพื่อนกลับบ้านไปดูทีวีดีกว่า
เสียงปรบมือดังขึ้น เจ้าบ่าวกับเจ้าสาวก้าวลงจากมอเตอร์ไซค์ เดินมากลางเวที พิธีกรเดินมาจากไหนไม่รู้ พูดชมบทละครน้ำเน่าที่เพิ่งผ่านไปไม่ขาดปาก เจ้าบ่าวกับเจ้าสาวผลัดกันปาดเหงื่อให้กัน และพิธีก็ดำเนินงานต่อไปตามปกติ
ในระหว่างที่พ่อแม่เจ้าบ่าวเจ้าสาว กับญาติทั้งหลายขึ้นไปพูดอะไรต่ออะไรกันบนเวที ผมก็กินไปกินไป ไม่ได้เหลือบตาไปสนใจบนเวทีอีก ผมอยากกลับบ้านจะแย่อยู่แล้ว
และพอกินอิ่มขณะที่กำลังจะออกปากเรียกเพื่อให้กลับบ้าน พอดีที่เจ้าบ่าวดันเรียกเพื่อนผมให้ขึ้นไปบนเวทีเสียนี่ แต่ก็เอาเถอะเค้าประกาศเรียกขนาดนี้แล้ว
ถึงแม้จะเป็นเพื่อนสนิทของเจ้าบ่าวแต่ก็ตั้งแต่เรียนมัธยม เพื่อนผมมันก็เลยไม่มีอะไรที่จะพูดเกี่ยวกับคู่บ่าวสาวมากนัก
อย่างที่คิด เพื่อนผมไม่ได้พูดอะไรมาก ได้แต่อวยพรสองสามคำแล้วก็เดินลงมาจากเวที
ตอนนี้ผมยืนรออยู่แล้ว กะว่าเพื่อนมาถึงจะเดินออกไปจากงานเลย แต่ก่อนที่เพื่อนผมจะเดินมาถึงไฟบนเวทีก็ปิดลงอีกครั้ง เพื่อนผมพอรู้สึกว่าไฟบนเวทีดับไปมันก็หยุดเดินแล้วก็หันไปดูที่เวที
ตอนนี้บนเวทีเหลือแค่เจ้าบ่าว เจ้าสาวแล้วก็พิธีกร เจ้าบ่าวยืนตัวเกร็งอยู่บนเวที ส่วนเจ้าสาวทำหน้างงๆ ยืนหันรีหันขวางอยู่ ส่วนพิธีกรเริ่มพูดด้วยน้ำเสียงแปลกๆ น้ำเสียงเหมือนกำลังจะเก็บความตื่นเต้นของตัวเองไม่อยู่
“เอาล่ะครับก่อนที่จะจบงานในค่ำคืนนี้ไป เจ้าบ่าวของเรามีความในใจอะไรบางอย่างที่อยากจะบอก เจ้าบ่าวมากระซิบบอกผมก่อนเริ่มงานว่า มันเป็นความในใจที่อยากจะบอกกับเจ้าสาวตั้งนานแล้วแต่ก็ไม่มีโอกาส และนี่ก็เป็นโอกาสอันดีที่เจ้าบ่าวของเราจะได้บอกคำนั้น”
เสียงในโรงพละหายไปหมด บรรยากาศเงียบสงบอย่างประหลาด เจ้าสาวยืนมองเจ้าบ่าวอย่างสงสัย งานนี้คงไม่ได้เตี๊ยมกันมาก่อนล่วงหน้าแน่ๆ ส่วนเจ้าบ่าวมองเจ้าสาวยิ้มๆแล้วเดินไปที่มอเตอร์ไซค์
“วันหนึ่งเมื่อหลายปีก่อน วันนั้นผมเพิ่งเริ่มคบหากับสาวน้อยคนหนึ่ง”
“มีอยู่วันหนึ่งสาวน้อยคนนั้นเกิดขอให้ผมสอนขับรถมอเตอร์ไซค์ รถมอเตอร์ไซค์แบบผู้หญิงไม่มีครัช ถึงแม้มันจะขับไม่ยาก แต่สอนให้คนอื่นขับมันไม่ง่ายเลยสำหรับผม”
“ผมบอกเธอว่าให้คนที่ขับแข็งกว่าผมสอนดีกว่ามั้ย แต่เธอก็ยังยืนยันว่าเธอไว้ใจที่จะให้ผมสอน และในที่สุดผมก็ยอมตกลงสอนเธอขับ”
“ผมสอนการเข้าเกียร์ สอนว่าคันเร่งอยู่ไหน เบรคอยู่ไหน แล้วก็ให้เธอลองขับโดยมีผมซ้อนท้าย”
“เธอเป็นคนฉลาด และที่สำคัญเธอกล้าที่จะลองขับ ผมคิดว่าเธอน่าจะขับได้ แต่ผมก็ลืมคิดไปว่าการที่มีคนซ้อนท้ายมันทำให้บังคับรถได้ยากกว่า”
“รถวิ่งไปตามทางเล็กๆเรื่อยๆ แต่พอวิ่งมาถึงทางโค้ง รถคงหนักเกินกว่าที่เธอจะบังคับให้มันเลี้ยวได้ แทนที่รถจะเลี้ยวมันกลับพุ่งเข้าไปหากำแพง ด้วยความตกใจเธอจึงกำคันเร่งเสียแน่นและลืมเหยียบเบรค”
“ถึงแม้รถจะวิ่งมาไม่เร็ว แต่ด้วยความตกใจและความกลัว ผมก็กระโดดลงจากรถมอเตอร์ไซค์ ปล่อยให้เธอขับรถไปชนกับกำแพงคนเดียว”
“รถชนกำแพงไม่แรงนัก เธอไม่บาดเจ็บมากนักและยอมยกโทษให้ผม แต่นั่นเป็นแผลที่อยู่ในใจของผมเสมอมา”
“วันนี้ นอกจากเธอจะให้อภัยผมมาจนถึงวันนี้ และในวันนี้เธอยังให้ความรู้สึกที่ดีที่สุดให้กับผู้ชายที่ทิ้งเธอในวันนั้น เพราะอย่างนั้นในวันนี้ผมถึงอยากจะบอกกับคุณว่า...”
“ผู้ชายคนนี้จะไม่มีทางทิ้งให้คุณต้องพบกับเรื่องราวเลวร้ายโดยลำพังอีก หากเกิดเรื่องเลวร้ายใดกับคุณ ผู้ชายคนนี้จะหาทางช่วยให้ได้อย่างสุดกำลัง และแม้สุดท้ายถ้าผู้ชายคนนี้ไม่สามารถช่วยคุณได้ เค้าก็จะยอมอยู่ร่วมรับชะตากรรมนั้นไปกับคุณ...จนสุดทาง”
เจ้าสาวยืนกุมมือเจ้าบ่าวยิ้มทั้งน้ำตา พิธีกรแอบปาดขอบตาตัวเอง แขกผู้หญิงหลายคนขอบตาแดง ผมยืนอึ้งพร้อมกับสลักภาพงานแต่งงานในวันนี้ลงในความทรงจำ
แล้วคุณล่ะมีงานแต่งงานของใครที่น่าประทับใจบ้าง คุณประทับใจอะไรในงานแต่งงานนั้น
แต่กับงานแต่งงานนี้ ผมประทับใจความรักที่มีอบอวลอยู่ในงานแต่งงานของหนุ่มสาวคู่นี้เหลือเกิน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น