เหตุที่ไม่ใช่แค่คน

ก็เพราะไม่ใช้ว่าจะมีแต่เรื่องราวที่มีผู้ดำเนินเรื่องเป็นแค่คนอย่างเดียวนี่ เลยไม่ใช้แค่(เรื่องของ)คน

ก็เพราะเป็นเรื่องราวอะไรบ้างก็ไม่รู้ที่เอามาเทๆรวมกัน ครั้นพอจะรวมให้เป็นเรื่องเดียวกันแค่จะเอาไม้พายมาคนๆแค่นั้นมันเห็นจะไม่พอ อาจต้องใช้วิธีตัดแปะ จับเพาะชนเกะ จนมันพอจะอ่านเป็นเรื่องเดียวกันแต่ในอารมณ์แบบ "หือ มันมาจากเหตุนี้เหรอ"

แค่เปิดหน้าก็น่างงแล้ว เรื่องราวข้างในอาจงงงวยยิ่งกว่านี้ก็เป็นได้

วันอาทิตย์ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

คืนรัง

ทุ่งหญ้าแห้งเหลืองทองทอทาบบรรจบกับขอบฟ้า ยามอาทิตย์ยอแสงส่องสีส้มแดง ทั่วท้องทุ่งถูกย้อมสีส้มระยิบระยับก่อนที่จะปิดตาหลับในยามค่ำคืน

เสาไม้รั้วเก่ายืนเดียวดายอยู่กลางทุ่งหญ้าแห้งที่ถูกย้อมด้วยแสงอาทิตย์ยามเย็นสีแสดสว่าง เคยมีรั้วลวดหนาม
กั้นพื้นที่ยาวอยู่ที่นี่ แต่เมื่อผู้คนโยกย้ายถิ่นที่ ก็ไม่มีใครมาคอยซ่อมบำรุงมันอีกต่อไป เสารั้วเริ่มล้มลงทีละต้นๆเหลือแต่จนเหลืออยู่ต้นเดียวที่ยังไม่ยอมล้มลง ถึงแม้จะผ่านเวลาไปนานแค่ไหน ไม่ว่าจะผ่านลมฝนมากน้อยเพียงใด มันยังไม่ล้มลง ไม่แม้แต่จะเอนเอียง
ไม่ใช่ว่ามันเป็นเสาเหล็ก เสาปูนหรือเสาอะไรทั้งนั้นมันถึงได้คงทนต่อลมฝนอากาศและกาลเวลาถึงขนาดนี้ มันเป็นเพียงแค่เสาไม้สนธรรมดาเหมือนกับเสาต้นอื่นๆที่ถูกตัดมาทำเป็นรั้วให้กับไร่ร้างแห่งนี้ เป็นเสาไม้สนกลมมีรอยเลื่อยตัดเรียบที่ปลายยอดด้านบน กิ่งเล็กๆที่ลำถูกถากถอนออกจนหมด

เป็นเสาไม้สนที่ตั้งทอดตัวเหนือพื้นสูงขึ้นไปในอากาศประมาณ 2 เมตร และฝังอยู่ใต้ดินลึกประมาณ 1.5 เมตร เสาต้นอื่นๆก็สูงเท่ากัน ฝังลึกลงไปใต้ดินเท่าๆกัน แต่เสาเหล่านั้นล้มไปแล้ว ล้มลงไปนานแล้ว ไม่จากเพราะลมฟ้าอากาศก็จากแมลงที่มาเจาะแทะกินเนื้อไม้จนผุกร่อนอ่อนแอลงไป จนตายในที่สุด แต่เสาต้นสุดท้ายยังไม่ล้มและยังไม่ตาย มันยังมีชีวิตอยู่เพื่อรอคอย

ภาพวันคืนแห่งความทรงจำยังคงชัดเจน เป็นภาพที่พร้อมที่จะถูกเรียกออกมาฉายซ้ำ เพื่อที่จะย้ำภาพเก่าๆให้ยิ่งชัดเจนขึ้นไปอีก มันเหมือนภาพที่ยิ่งฉายยิ่งชัด

ท้องทุ่งเขียวชอุ่มที่เพิ่งถูกทิ้งร้างได้ไม่นาน หญ้าขึ้นรกครึ้ม หยาดน้ำค้างยามเช้ายังไม่แห้งเหือดสนิท เสาไม้รั้วยืนต้นเรียงแถวนิ่งสงบยาวสุดตา ยืนเงียบงันเหมือนกับยังไม่ตื่นนอนเต็มตา และทำท่าเหมือนกับจะนอนต่อ

แต่แล้วเสียงแหลมสูงเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น เสียงลอยมาจากบนฟ้าแล้วก็ดังใกล้เข้ามา ๆ แล้วมันก็หล่นตุ้บอยู่บนเสา

มันเป็นนกตัวหนึ่ง เจ้านกน้อยร้องโวยวายพร้อมกับกระพือปีกข้างขวาข้างเดียวของมันไม่หยุด ดูท่าปีกข้างซ้ายของมันจะเจ็บ เจ้านกดิ้นไปมาอยู่บนเสาดิ้นอยู่ 2-3 ทีมันก็หยุด หยุดนิ่งยืนตัวแข็งทื่ออยู่บนเสานั้น มันคงรู้ตัวว่ามันตกมาค้างอยู่บนเสา และเสาก็อยู่สูงขึ้นมาจากพื้นถึง 2 เมตร มันคงยังช็อกอยู่กับการตกลงมาจากที่สูง ซึ่งถึงจะไม่เป็นอะไรมากแต่อย่างน้อยก็ทำให้ปีกมันเจ็บ และมันคงยังไม่อยากตกจากที่สูงอีก มันคงยังไม่อยากที่จะเจ็บตัวอีกในตอนนี้

เจ้านกหยุดยืนนิ่งอยู่นาน มันคิดอะไรอยู่ ปีกชั้นจะหักมั้ย ชั้นจะบินได้อีกครั้งมั้ย เกิดอะไรขึ้น ที่นี่ที่ไหน ถ้ากระโดดลงไปข้างล่างชั้นจะบาดเจ็บอีกมั้ย แล้วชั้นจะเอาอะไรกิน ชั้นจะตายมั้ย

เจ้านกมันคงคิดอะไรไปต่างๆนานา มันคงกลัวไปทุกๆอย่างแน่ๆ มันถึงยืนแข็งทื่ออยู่อย่างนี้ตั้งครึ่งค่อนวัน แต่สุดท้ายมันก็นั่งลง ไม่ได้นั่งลงเพราะมันเกิดคลายใจ แต่ท่าทางจะนั่งลงเพราะหมดแรงมากกว่า มันนั่งลงแล้วมันก็หลับไป

เวลาเช้าอีกครั้งแล้ว เจ้านกยังนอนอยู่บนเสาไม้ ตัวของมันเปียกปอนไปหมด เจ้านกตัวสั่นจากความหนาว มันคงตื่นขึ้นมาตั้งแต่ก่อนรุ่งแล้ว มันคงนอนไม่หลับในอากาศหนาวขนาดนี้ อีกทั้งยังบาดเจ็บอยู่แบบนี้ ไม่รวมถึงความกลัวและความหิว

“กินเห็ดสิ” เจ้าเสาไม้สนพูดขึ้นมา

“กินเห็ดที่ขึ้นอยู่บนตัวฉันสิ มันอาจจะพอช่วยให้หายหิวได้นะ ไม่ฉันไม่เจ็บหรอก จิกกินได้ตามใจชอบเลย”

เจ้านกน้อยจิกกินเห็ดดอกที่อยู่ใกล้ตัวมากที่สุด มันกินอย่างเอร็ดอร่อย ตะกรุมตะกราม ดูท่าทางมันจะหิวมากทีเดียว

เจ้าลูกนกเล่าให้ฟังหลังจากกินเห็นจนอิ่มแล้ว มันเล่าว่าเมื่อวานมันเพิ่งหัดบินเป็นครั้งแรก ไม่ใช่นกทุกตัวจะบินได้เลยตั้งแต่เกิด ถึงจะเป็นนกแต่พวกมันก็ต้องหัดบินเหมือนกัน

ที่จริงแล้วนกที่บินได้ทุกตัวมีสรีระที่เหมาะสมกับการบินอยู่แล้ว แต่ที่นกแต่ละตัวมีไม่เท่ากันก็น่าจะอยู่ที่ความกล้า เจ้าลูกนกขี้กลัวไปหน่อยพอกระโดดออกจากรังที่อยู่บนยอดไม้ แทนที่มันจะพยายามบิน มันกลับตื่นเต้นตกใจจนลืมกระพือปีก แต่ยังโชคดีที่พอมันเห็นว่าจะตกถึงพื้นแล้วมันก็พยายามกระพือปีกสุดแรง แต่ก็แค่พอทำให้มันไม่บาดเจ็บหนักเมื่อลงมากระแทกกับเสาไม้สนเท่านั้น

เจ้าลูกนกปีกเจ็บแต่ก็ไม่ร้ายแรงนัก แต่กว่ามันจะบินได้ก็กินเวลาเกือบอาทิตย์ เจ้านกตัวเล็กอาศัยเห็ดที่ขึ้นอยู่บนเสากินเป็นอาหาร มันค่อยๆกินทีละนิดดีที่มันตัวเล็กมากเลยทำให้กินไม่เปลือง

ส่วนตอนนอนพอดีบนเสามีเห็ดดอกใหญ่บานอยู่ เจ้านกพอที่จะมุดตัวเข้าไปหลบน้ำค้างนอนได้ในตอนกลางคืน

ในระหว่างช่วงเวลาที่ลูกนกอยู่บนเสาไม้ ลูกนกก็จะคอยชวนเสาไม้คุยไปเรื่อยๆ เจ้าลูกนกช่างพูดช่างถามเหลือเกิน

“เธออยู่ที่นี่มานานแค่ไหนแล้ว”-----“นานหลายปีแล้ว”

“เธอบินได้มั้ย”-----“บินไม่ได้ เพราะฉันเป็นแค่ตอไม้”

“เธอเคยไปที่อื่นบ้างหรือเปล่า”-----“เคย ฉันเคย เมื่อก่อนฉันเคยเป็นต้นไม้มาก่อน อยู่บนภูเขาโน่น แต่ก็โดนตัดมาทำรั้วอยู่ที่นี่”

“เธอคิดถึงบ้านมั้ย”-----“ฉันจำไม่ได้แล้วว่าบ้านเป็นยังไง”

“แล้วเธออยากกลับบ้านมั้ย”-----“กลับไปไม่ได้แล้ว ฉันโดนตัดรากตัดใบไปหมด ตัวฉันไม่มีการเติบโตแล้ว คงอีกไม่นานฉันก็คงต้องล้มลงแล้วก็ผุพังไปเหมือนกับเสาต้นอื่นๆข้างๆนั่นไง”-----“แย่จัง แต่ชั้นอยากกลับบ้านนะ หรือถ้าไม่ใช่ก็อยากจะไปที่อื่น ชั้นไม่อยากอยู่แบบนี้เลย”-----“.....”

นานแล้วที่เจ้าเสาไม้ไม่มีใครมาคุยด้วย มันรู้สึกผูกพันกับเจ้าลูกนกอย่างบอกไม่ถูก แต่มันก็รู้ว่าพอเจ้าลูกนกหายเจ็บมันก็ต้องบินจากมันไป เพราะนกไม่ทำรังอยู่บนไม้ที่ไม่มีกิ่งก้าน ไม่มีใบให้ปิดบังพวกมันออกจากแดดฝน หรือซ่อนพวกมันจากสายตาของศัตรู เจ้านกคงไม่อยู่กับมันนาน

แต่ก็ผิดคาด เมื่อเจ้านกหายดีแล้วมันเริ่มหัดบินใหม่อีกครั้ง คราวนี้มันบินได้ไม่ยาก แต่พอบินได้แล้วเจ้าลูกนกก็ไม่ได้บินไปไหน มันยังคงบินวนเวียนอยู่รอบๆเจ้าเสาไม้ บินหากินอยู่รอบๆท้องทุ่งหญ้านั้น

เสาไม้เป็นเหมือนรังของเจ้าลูกนก ตอนเช้าออกจากรังไปออกหาอาหารไปทั่วท้องทุ่ง ตกเย็นลูกนกก็จะบินกลับมา กลับมาซุกตัวอยู่ใต้ดอกเห็ด แล้วก็ส่งเสียงจิ๊บจั๊บเล่าสิ่งที่ได้พบเจอมาแต่ละวันให้เสาไม้สนฟัง เล่าตั้งแต่บินกลับมาถึงจนฟ้ามืดจนม่อยหลับไป...

เสาไม้ช่างมีความสุข เจ้านกน้อยช่างร่าเริงมีชีวิตชีวา เจ้านกทำให้มันที่เป็นเพียงตอไม้แข็งดูไร้ชีวิตกลับดูมีชีวิต มันชอบใจที่เจ้าลูกนกมาอยู่กับมัน มันอยากให้เป็นอย่างนี้ตลอดไป

เสาไม้สนรู้สึกมีความสุข แต่มันก็รู้ว่าความสุขเช่นนี้ต้องมีวันสิ้นสุด เพียงแต่ไม่รู้ว่าอีกนานแค่ไหน อาจจะนานนับปี หรืออาจจะอีกไม่กี่วันไม่กี่ชั่วโมง ถึงแม้อาจจะไม่มีเรื่องราวใดมาทำให้ทั้งสองต้องแยกจากกัน แต่อย่างน้อยมันก็ไม่รู้ว่าเจ้าลูกนกจะมีอายุยืนยาวแค่ไหน หรือตัวมันเองจะทนยืนปักอยู่บนพื้นได้อีกกี่วันกี่เดือนกัน แต่ถ้ามันจะต้องแยกจากกันด้วยเงื่อนไขแห่งอายุตามลิขิตแห่งธรรมชาติ เจ้าเสาไม้ก็รู้สึกว่านั่นก็น่าพอใจ และน่าดีใจเหลือเกินแล้ว

เพียงแต่ไม่รู้ว่าเจ้าลูกนกรู้สึกอย่างไร ลูกนกอยากอยู่กับเสาไม้อย่างมันตลอดไปหรือไม่ มันจะเบื่อกับเสาไม้ที่เคลื่อนไหวไม่ได้ มันเป็นแค่เสาไม้บางทีก็ไม่รู้เรื่องราวอะไรของนกเลย เพราะมันเป็นต้นไม้ และสุดท้ายมันก็ไม่รู้ว่านกจะอยู่ร่วมกับเสาไม้อย่างมันได้หรือไม่ การอยู่ด้วยกันทำให้มันมีความสุข แต่อีกด้านหนึ่งมันก็มีความกังวลใจ ความกลัวและทุกข์ใจเกิดขึ้นในเวลาเดียวกัน

เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ถึงจะเป็นเวลาหลายเดือนแต่พอเมื่อรู้สึกตัวมันช่างเป็นเวลาที่สั้นเหลือเกิน ความผิดหวังมักมาโดยไม่ทันตั้งตัว อยู่ๆเจ้าลูกนกก็หายไป ไม่มีคำล่ำลาใดๆ เจ้าลูกนกบินออกไปตอนเช้าตามปกติ แต่เมื่อถึงตอนเย็นมันก็ไม่กลับมาอีก

เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า เจ้าลูกนกจะเป็นอะไรไหม ถูกใครทำร้ายหรือเปล่า เสาสนอยากออกตามหาแต่จนใจที่มันเป็นเพียงเสาสน มันเดินไม่ได้ เคลื่อนที่ไม่ได้ มันได้แต่ยืนร้อนใจอยู่กับที่ วันแล้ววันเล่าวันแล้ววันเล่า...

แต่ไม่นานเสาไม้สนก็ได้ข่าวคราวของเจ้าลูกนกจากกระต่ายตัวหนึ่ง เจ้าลูกนกไม่ได้ถูกใครทำร้าย แต่ลูกนกบินจากไป บินไปในทิศทางที่ห่างออกไปจากเจ้าเสาสน ห่างออกไปๆจนไกลลับตา

ความรู้สึกของเสาไม้สนเป็นอย่างไร สบายใจที่รู้ว่าเจ้าลูกนกปลอดภัย แต่ก็สับสนในใจว่าเหตุใดทำไมเจ้านกถึงต้องจากไป ทั้งๆที่มันเองก็รู้ว่ามีหลายเหตุผลที่ทำให้เจ้านกต้องจากไป แต่มันไม่รู้ว่าเป็นเหตุผลไหน ถ้ามันรู้ว่าเหตุผลนั้นเป็นความผิดพลาดที่เกิดจากตัวมัน มันก็จะแก้ไขความผิดพลาดนั้น เพื่อที่จะให้เจ้านกกลับมาอยู่ด้วยกันอีกครั้ง หลังจากนั้นเจ้าเสาไม้สนเฝ้าคิดอยู่ตลอดเวลาว่า เพราะอะไรเพราะเหตุใด และมันจะทำอย่างไรทำอะไรต่อไป

“เฝ้ารอ” คำตอบที่มีเพียงอย่างเดียว ที่มันรู้ตอนนี้

เพียงแต่มันต้องเลือกว่ามันจะเฝ้ารออย่างไร การเฝ้ารอมีสองทาง แต่มีหนึ่งอย่างที่เหมือนกัน คือความคำนึงหา มันยังคงคิดถึง ยังคงเฝ้าถามเหตุผลของการจากไป มันเป็นความทุกข์ทรมานที่ไม่รู้เวลาที่สิ้นสุด แต่เวลาต่อจากนี้มันสามารถเลือกได้ว่า มันจะรออย่างหมดอาลัยตายอยาก หรือรออย่างมีความหวัง

เสาสนรู้ว่าลูกนกที่แสนร่าเริงไม่อยากให้เห็นมันต้องโศกเศร้าและทนทุกข์ มันไม่เลือกที่จะทำร้ายตัวเองเพื่อบอกใครต่อใครว่ามันมีความรักลึกล้ำแค่ไหน

เสาสนเลือกที่จะจดจำแต่สิ่งที่ดี คิดแต่ในแง่ที่ดีถึงแม้บางครั้ง ความรู้สึกเศร้าเสียใจน้อยใจ ก็แวะเวียนเข้ามาเวลาเผลอเสมอๆ แต่มันก็พยายามที่จะเตือนตัวเองไม่ให้คิดและหวังแต่ในสิ่งที่ดีเท่านั้น

เวลาผ่านไปแม้ไม่นานก็เหมือนแสนนาน สำหรับผู้ที่เฝ้ารอเวลาคล้ายเป็นเครื่องทรมาน ถึงเจ้าเสาสนจะคอยเตือนจิตใจตัวเองเสมอไม่ให้คิดถึง ถึงแม้ตอนนี้มันจะดูมีชีวิตชีวาขึ้น มีชีวิตชีวายิ่งกว่าตอนก่อนที่จะเจอเจ้านกเสียอีก บางทีการเฝ้ารอก็เป็นพลังให้กับชีวิตได้ แต่ถึงอย่างนั้นทุกวันเจ้าเสาสนก็ต้องมีเวลาหนึ่งที่นึกถึง ที่ทำให้มันเศร้าใจ บางวันอาจเกิดเพียงเศษเสี้ยววินาทีแต่บางวันก็นานถึงครึ่งค่อนวัน
เพียงปีช่างดูนานแสนนาน ถ้าเทียบกับเวลาของต้นไม้แล้วมันเป็นเพียงเสี้ยวเศษของเวลา แต่กับเสาไม้ที่ได้แต่รอคอย มันช่างนานเหมือนอนันต์

เสาสนยังคงรอลูกนกอยู่ ความรู้สึกมีความสุขเมื่อนึกถึงวันคืนที่มีร่วมกันยังคงอยู่ เพียงแต่เสาสนจำไม่ได้แล้วว่าเจ้านกมีรูปร่างหน้าตา สีสันอย่างไร

จะว่าไปก็ไม่ใช่ว่ามันเพิ่งจะจำไม่ได้ แต่มันจำไม่ได้มาตั้งนานแล้ว เสาสนไม่เคยจำความสวยน่ารักของลูกนก มันเพียงจดจำความร่าเริงสดใส ความมีน้ำใจและความรักที่เจ้านกมีให้กับมันเพียงเท่านั้น

ป่านนี้เจ้านกจะเติบโตขึ้นแค่ไหนแล้ว ถ้ามันกลับมามันจะยังคงคุยกับเสาสนเหมือนเดิมหรือเปล่า เจ้าเสาไม้นึกถึงความหลังอันแสนสุข แต่แล้วทำไมเจ้าลูกนกถึงไปจากเรา มันจะยังปลอดภัยดีอยู่หรือไม่ เราจะมีโอกาสที่จะได้กลับมาอยู่ร่วมกันอีกไหม เจ้าลูกนกยังคงต้องการมันอยู่หรือเปล่า เมื่อคิดถึงแม้จะมีความรู้สึกเป็นสุข แต่ความคิดที่เป็นทุกข์ก็พร้อมที่จะผุดขึ้นมา แต่เจ้าเสาสนก็ไม่กลัว มันไม่กลัวที่จะเจ็บ

อาจจะดูฉาบฉวยที่มันเพียงต้องการความรู้สึกมีความสุขเมื่อได้อยู่กับสิ่งที่มันรัก แต่มันรู้ดีว่าความรักอันนั้นไม่ใช่เพียงความสุข แต่มันจะเป็นพลังแห่งชีวิตให้กับมัน มันจึงยังคงรอคอย และจะรอคอยต่อไปจนถึงวันนั้น

เช้าสดใสกลับมาอีกครั้ง เหล่าชีวิตทั้งหลายต่างเริ่มดำเนินชีวิตตามปกติอย่างทุกวัน มีเพียงเสาสนเท่านั้นที่ยังคงยืนเงียบงันอยู่กลางดงหญ้าเขียวที่ขึ้นรกปกคลุมสูงจนเกือบจะท่วมเจ้าเสาสนอยู่แล้ว มันยังคงเป็นเช้าที่สดใสแต่เงียบงันสำหรับเสาสนเหมือนเช่นเคย

“เช้าที่เงียบสงบวันหนึ่ง มีเสียงลูกนกร้องเสียงหลงมาจากบนฟ้า แล้วลูกนกก็ตกลงมาอยู่บนยอดของมัน”

เสาสนนึกถึงวันนั้นอีกแล้ว นึกถึงวันที่ได้พบกับเจ้าลูกนกครั้งแรก วันนี้มันช่างดูเหมือนอะไรอย่างนี้ ต่างกันแค่ ต้นไม้หลายต้นโตขึ้น บางต้นหายไป หญ้าสูงขึ้น แต่ยังเขียวเหมือนเดิม แล้วก็เสียงนกร้องอย่างทุกวัน...

มันเงี่ยหูฟังเสียงรอบๆตัว
เสียงแหลมสูงเสียงหนึ่งดังขึ้นจากบนฟ้า เสียงนั้นดังขึ้นและถี่ขึ้นและใกล้เข้ามาทุกที จนสุดท้ายก็เป็นเสียง “ตุ้บ”
นกตัวหนึ่งตกลงมาบนเสา

เจ้านกนอนนิ่งหอบหายใจอยู่อย่างนั้น มันผ่านการเดินทางไกลโดยไม่ได้หยุดพัก

เสาสนจำเสียงนั้นได้ดี ถึงแม้ว่ามันจะรู้สึกว่าตัวเจ้าลูกนกจะหนักขึ้น เพราะมันตัวใหญ่ขึ้น เสียงจะเปลี่ยนไปบ้าง แต่มันก็คือลูกนกตัวเดิมที่มันเฝ้ารอคอยอยู่ทุกวัน

“ห หิวมั้ย กินเห็ดสิ”

เจ้านกนิ่งเงียบไป แล้วมันก็เริ่มกินเห็ดบนเสาเหมือนอย่างที่เคยเมื่อนานมาแล้ว

“ชั้นกลับมาหา”-----“อืม...ฉันเห็นแล้ว และดีใจที่ได้เจออีกครั้ง”

“โกรธชั้นมั้ยที่ไปโดยไม่ลา”-----“โกรธฉันมั้ยที่ยังยืนอยู่ตรงนี้โดยที่ไม่ได้ออกตามหา”

“ตอนที่ชั้นจากไป ชั้นทำผิดไปมากมาย”-----“ฉันอยู่ที่นี่ก็ไม่ได้ทำสิ่งที่ถูกต้องมากมายนัก”

“อายุขัยของนกอย่างชั้น น่าจะอยู่ได้อีกประมาณ 1 ปี ถ้า...ชั้นจะขอกลับมาอยู่ที่นี่...”-----“ถ้าฉันจะขอให้เธอกลับมาอยู่ที่นี่ ฉันไม่รู้ว่าฉันจะมีอายุเหลืออีกกี่วันกี่ปี แต่ถ้าฉันอยากจะขอให้เธออยู่ที่นี่...”

เสาสนรู้สึกดีใจแต่มันก็สะท้อนใจว่าเจ้านกจะอยู่กับมันได้จริงหรือ วันนี้เจ้านกตัวโตขึ้น เห็ดดอกใหญ่แค่ไหนก็บังน้ำค้างให้เจ้านกไม่ได้แล้ว อย่าว่าแต่เห็ดดอกนั้นโดนใครสักคนเด็ดไปแล้ว เจ้านกจะอยู่เหมือนเดิมกับมันได้อย่างไร...

แต่การรอคอยคือพลัง หญ้าขึ้นสูงเกือบท่วมเจ้าเสา ทำให้มันไม่รู้ว่าปาฏิหาริย์เกิดขึ้นแล้ว เสาไม้สนที่ปักอยู่บนพื้นดินเกิดรากขึ้นมา รากที่เป็นเครื่องหมายแห่งชีวิต เจ้าเสาสนไม่รู้เลยว่าตัวมันกำลังเติบโตขึ้นทีละน้อย

ภาพเดิมๆกลับมา เจ้านกบินกลับมาจากหาอาหาร มันบินกลับมาเกาะที่ยอดเสา ส่งเสียงจิ๊บจั้บเล่าเรื่องราวต่างๆที่มันได้พบเจอมา ไม่ว่าเรื่องจะดีหรือไม่ดีอย่างไร เสาสนก็ยิ้มฟังอย่างตั้งใจ

แสงแห่งวันเริ่มหรี่ลงทีละน้อยแต่เสียงของเจ้านกก็ยังไม่ได้ค่อยลงเลย เสาสนก็ยินดีที่จะอยู่รับฟังให้สมกับความคิดถึง
ความรักทำให้เกิดพลัง ไม่มีใครสังเกตว่าใบไม้ใบแรกได้ผลิออกมาแล้ว

วันพฤหัสบดีที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ในวันฝนตก ลูกนกเปียกซก















วันนี้ฝนตกทั้งวันตกเช้ารอบนึงแล้วก็หยุดไป ฟ้ายังครึ้มอยู่ จนช่วงสายๆก็กระหน่ำลงมาอีกเซ็ต ไม่ให้ซุ่มให้เสียง มาอย่างรวดเร็ว แล้วก็ไปอย่างรวดเร็ว
หลังจากฝนหยุดแล้วก็เดินไปดูไก่ที่เลี้ยงไว้หลังบ้าน (ดูว่ามันโดนฝนหรือเปล่า) แต่ระหว่างทางก็เหลือบไปเห็นไอ้ตัวนี้เข้า
ตอนแรกก็มองๆอยู่ อ่าวมันเปียกนี่นา ดูท่าจะยังไปไหนไม่ได้ ยังเป็นลูกนกเอ๊าะๆอยู่ด้วย ด้วยประสบการณ์ เจอภัยมาไม่รู้ตัวได้แต่ยืนเกาะกิ่งไม้ตัวสั่นอยู่อย่างนั้น
"เสร็จสิงานนี้"เมื่อดูท่าว่าไปไหนไม่รอดอย่างนี้แล้วเลยรีบวิ่งเข้าบ้านไปหยิบกล้องมาถ่ายรูปซะเลย

เริ่มด้วยการแอบถ่ายไกลๆก่อน แล้วค่อยขยับเข้าไปใกล้ๆ

ขณะถ่ายก็วางแผนไปด้วยว่าจตะช่วยเหลือมันยังไงดู ดูท่าจะยังบินไม่เป็นเสียด้วยสิ
๑)ช่วยให้มันได้บุญดีมั้ย ด้วยการให้มันได้บำเพ็ญตัวเป็นผัดเผ็ดนกเลี้ยงคนให้มีชีวิตรอดไปอีกมื้อหนึ่ง
๒)ช่วยให้มันมีชีวิตที่ดีขึ้น โดยการผัดเผ็ดมันเพื่อส่งให้มันได้ไปเกิดใหม่ไม่ต้องรอ

๓)ช่วยสอนบทเรียนชีวิตครั้งสำคัญให้กับมันว่า ถ้าตอนฝนตกหนักแล้วไม่ยอมอยู่กับเหย้าเฝ้ารังดีๆ อาจมีรังใหม่เป็นกระทะผัดเผ็ดได้






อ่อๆ ที่เพ้อๆไปก็แค่พูดเล่นแค่นั้นอย่างอนเลยนะ ยังไงก็แค่จะถ่ายรูปเฉยๆล่ะ ว่าแต่แกตัวใหญ่จังเลยนะ นี่แกยังบินไม่ได้อีกเหรอ แล้วนี่แกยังเป็นลูกนกอยู่ใช่มั้ย....คำถามสุดท้ายแล้วนี่แกเป็นนกกระจอกใช่มั้ย










วันพุธที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2553

Palio (ครั้งที่๑)

ไม่มีหัวข้อจะเขียน เอารูปที่ไป Palio เขาใหญ่มาให้ดูไปพลางๆก่อน (ที่จริงใน facebook ก็อันเดียวกันนั่นล่ะ)


เค้าใช้สถาปัตยกรรมแบบอิตาลี่
แต่อิตานี่เดินไปก็กดๆถ่ายๆรูปไปเรื่อยๆ ไม่ได้ซึมซับอะไรกับความงามของสถานที่เค้าเลย


>>>>>>>>> เดาว่าเป็นตู้ใส่้จดหมาย (ที่จริงไม่ต้องเดาก็น่าจะดูรู้) แต่ก็เถียงกับตัวเองอยู่ว่า เมื่อก่อนน่ะมันใช่ตู้จดหมายอยู่หรอก แต่ตอนนี้มันจะยังมีชีวิตอยู่เพื่อรอรับจดหมายหรือกลายเป็นแค่ของประดับหน้าร้าน...ตะแบงมั้ยล่ะ








ห้องแต่ละห้อง เปิดให้เช่าเป็นร้านขายของ ส่วนใหญ่เป็นร้านขายของที่ระลึก จัดตบแต่งสวย สวยเลย ของที่เอามาขายก็ดูน่ารักดี แต่ไม่กล้าเข้าไปถ่ายข้างในร้าน เพราะสภาพไม่ได้เตรียมตัวไปซื้อของ เดินทางไปจนกระทั่งกลับไม่ได้จ่างตังค์ซักบาท เลยไม่กล้าไปขอเค้าถ่ายในร้าน ไม่รู้จะให้หรือเปล่าด้วย (ไปคราวหน้าต้องหาทางเข้าไปถ่ายให้ได้ เพราะเค้าแต่งร้านสวยจริงๆ ย้ำ




เอ่อ ไม่มีภาพที่มันกว้างกว่านี้อ่ะครับ รู้สึกว่าคนเยอะเลยถ่ายมาแบบบีบๆ ถึงรูปจะไม่บอกอะไรมากก็เถอะ แต่ก็ย้ำอีกทีว่าเค้าแต่งร้านกันดีจริงๆนะ

เค้ามีร้านอาหารด้วยน่ะ หลากสไตล์ ตั้งแต่อาหารอิตาลี่ตาม concept ยังไปถึงแกงไตปลาภูเก็ต ครั้งหน้าจะไปลองกิน แกงไตปลาภูเก็ตสไตล์อิตาลี่







พอก่อนดีกว่า มีความรู้สึกว่าอัพรูปมากๆแล้วเวลาโหลดมันจะช้าและกระตุก แก้ขัดกันแค่นี้ก่อนเหลือรูป (อีกนิดหน่อย) เอาไว้มาใช้งานคราวหน้า ว่าแต่ถ่ายมาทำไมน่ะพื้นเนี่ย

วันอังคารที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2553

เรื่องของวันที่ฉันเดินผ่านประตู

วันนี้เป็นอีกวันที่น่าเบื่อ ลืมตาขึ้นมาก็เจอกับเพดานผืนเดิม พัดลมตัวเดิม หมอนข้างใบเดิม ในสมองก็คิดถึงแต่กิจกรรมเดิมๆ ตื่นนอน แปลงฟัน อาบน้ำ หาของกิน ออกไปเล่นเกม เมื่อไหร่นะที่จะมีอย่างอื่นมาเปลี่ยนกิจวัตรเดิมๆแบบนี้

มันเป็นกิจวัตรประจำวันตั้งแต่เรียนจบปริญญาตรี ตื่นนอน แปรงฟัน อาบน้ำ หาของกิน แล้วก็ออกไปเล่นเกมออนไลน์ที่ร้านเกม นั่งจนง่วงแล้วค่อยกลับห้อง หาของกิน อาบน้ำ แปรงฟัน แล้วก็นอน วนกลับไปกลับมาอยู่อย่างนี้มาเกือบปีได้แล้วมั้ง

จริงๆก็ไม่ได้เพิ่งหัดเล่นเกมพวกนี้ตอนเรียนจบหรอกนะ เพื่อนชวนเล่นตั้งแต่เข้ามาเรียนที่กรุงเทพฯ 3-4 ปีได้แล้วมั้ง ช่วงที่เรียนอยู่ก็..ตื่นนอน เช้าออกไปเรียน เย็นเล่นเกม เที่ยงคืนกลับหอนอน หรือวันไหนไม่อยากเรียนก็ไปเล่นเกมตั้งแต่เช้าเลย หรือวันไหนไม่อยากเล่นเกมก็ไปเรียน แต่อันหลังนี่น้อยครั้งจริงๆ บางวันเดินออกจากห้อง ตั้งใจจะไปเรียน พอเดินผ่านประตูหน้าร้านเกม ก็เปลี่ยนใจเดินเลี้ยวไปเปิดประตูเข้าร้านเกมเสียอย่างนั้น เคยนึกว่าจะเรียนไม่จบซะแล้ว แต่ก็รอดมาได้

เห็นอย่างนี้ใครๆคงคิดว่าเกาะพ่อแม่กินไปวันๆ คิดผิดแล้วครับผมทำงานหาเลี้ยงตัวเองได้ตั้งแต่ปีสามแล้ว รู้หรือเปล่าครับว่าเล่นเกมก็หาเงินใช้ได้ เกมไหนที่โอนถ่ายสิ่งของในเกมให้กันได้ เกมนั้นก็ใช้หาเงินได้ หลักการตลาดธรรมดา เมื่อคุณต้องการอะไรในเกมก็บอกมา เราจะหาให้เพียงแค่คุณจ่ายเงินมาแค่นั้นเอง ผมสนุกกับมันมากได้ทั้งเล่นเกมได้ทั้งเงินใช้ วันที่ไม่มีธุระจริงๆผมไม่เคยลุกออกจากหน้าจอคอมพิวเตอร์เลย แต่นั่นมันก็เมื่อสองปีมาแล้ว

ตอนนี้มันเริ่มรู้สึกเบื่อ เพื่อนที่เล่นเกมมาด้วยกันก็ค่อยๆหายไปทีละคนๆ พอเรียนจบก็แยกย้ายกันไป มีภาระของแต่ละคน ผมเองที่จริงก็รู้ตัวว่าถึงเวลาแล้วเหมือนกัน คงต้องออกไปหางานทำแบบคนอื่น แต่มันยังไม่อยาก บางทีผมคงกลัวที่จะต้องเผชิญโลกที่กว้างขึ้น โลกที่เป็นจริงไม่ใช่เกม ที่ถ้าตัวละครตายขึ้นมาก็แค่กดปุ่มปุ่มเดียว ตัวละครก็จะมีชีวิตขึ้นมาใหม่ แต่ในความเป็นจริงมันไม่ใช่ ถึงแม้ว่าอาจจะไม่ถึงกับตาย แต่อย่างน้อยก็ต้องมีเหนื่อย มีทุกข์ อะไรก็ตามที่ไม่ดี ที่เราไม่ชอบก็เรียกรวมว่าทุกข์ ทุกคนกลัวความทุกข์ ผมก็กลัว กลัวที่จะต้องออกไปเผชิญกับมัน การทำงานมันไม่สนุกเหมือนการเล่นเกมอยู่แล้ว

บางครั้งเจอเพื่อนเก่า คำถามแรกๆที่ต้องเจอคือ

“ตอนนี้ทำอะไรอยู่ล่ะ”

“ไม่ได้ทำ เล่นเกมไปวันๆ”

จบคำถามนี้ก็ทำให้ไม่มีอารมณ์คุยต่อ ต้องรีบหาทางปลีกตัวทันที ทำไมกันนะก็ในเมื่อเล่นเกม ก็หาเงินเลี้ยงตัวเองได้เหมือนกัน แต่ทำไมพอบอกว่ายังไม่ได้ทำงาน ทุกคนก็ต้องทำหน้าทำตาว่าเหมือนจะบอกว่า

“ไอ้นี่ยังเล่นเกมอยู่อีก”

“เรียนก็จบแล้วยังไม่มีงานทำอีก”

ทำไมวะจะทำอย่างนี้จะอยู่อย่างนี้มันหนักหัวใครตรงไหน หรือจะให้บอกว่างานของกูคือเล่นเกมไงล่ะ พอคิดแล้วก็แค้น แต่มาคิดอีกที เราก็ยังไม่เคยเจอใครพูดแบบนี้ต่อหน้าเลยซักครั้ง แค่คิดว่าเค้าจะพูดก็หงุดหงิดขึ้นมาเสียแล้ว

เดินมาหยุดยืนอยู่ที่หน้าร้านเกม จากจุดที่ยืนอยู่ ถ้าก้าวเดินของเรา ยาวก้าวล่ะ 65 เซนติเมตร อีก 3 ก้าวก็จะถึงหน้าประตู ถ้ายืนในระยะนั้น ยกแขนให้ต้นแขนกาง 14 องศา วัดจากต้นแขนกับอก ข้อศอกกาง 140 องศา วัดจากแขนด้านใน หักข้อมือลง 132 องศา วัดจากข้อมือกับโคนนิ้วโป้งมือเดียวกัน ก็จะจับมือจับลูกบิดประตูได้พอดี นอกจากเล่นเกมหน้าจอคอมพิวเตอร์แล้ว บางโอกาสยังได้เล่นเกมอื่นๆ เป็นค่าข้าวค่าน้ำกับพวกเด็กในร้าน เคยพนันกันว่า ถ้ายืนที่พรมหน้าร้านแล้วยื่นมือไปจับมือจับประตู ข้อศอกจะทำมุมเป็นเลขคู่หรือเลขคี่ ช่างสรรหากันเหลือเกิน ทุกอย่างเกี่ยวกับร้านเกมถูกเอามาเล่นเกือบหมด เก้าอี้ตัวไหนจะพังก่อน เมาส์ของเครื่องไหนสายยาวกว่ากัน CPU เครื่องไหนเก่าที่สุด มอนิเตอร์ตัวไหนหนักที่สุด เวลาสองสามปีที่เล่นเกมที่ร้านนี้ ทำให้เรารู้ข้อมูลของร้านมากกว่าพี่มดเจ้าของร้านเสียอีก

“สวัสดีครับพี่หมู มาช้าจังเลย” คิดอะไรเพลินๆอยู่ เจ้านิวก็เข้ามาทัก

“เล่นก่อนเลยนิว เดี๋ยวตามไป” เจ้านิวชอบโดดเรียนวันศุกร์มาเล่นเกมตั้งแต่เช้า มันเคยบอกว่ามันเกลียดครูดนตรี เพราะมันเกเรครูดนตรีเลยชอบตีมัน หลังๆมันเลยไม่อยากเข้าเรียน จนสุดท้ายมันก็เลิกเรียนวันศุกร์ไป วันนี้นิวใส่เสื้อยืดกางเกงขาสั้นมา แสดงว่าเตรียมชุดมาเปลี่ยน อาทิตย์ที่แล้ว ถูกสารวัตรนักเรียนจับได้ทั้งชุดนักเรียน ได้ข่าวว่าโดนตีไปอีกชุดใหญ่ อาทิตย์นี้เลยเตรียมพร้อม

“อ่าวหมูออกมาดูดบุหรี่เหรอ มีให้พี่ซักตัวมั้ย” พี่ชิดอายุมากกว่า 3 ปี แต่ยังเล่นเกมอยู่ไม่ไปไหน เด็กที่ร้านบอก มาร้านต้องเจอพี่ชิดกับพี่หมู วันไหนไม่เจอใครซักคน วันนั้นหิมะตก

“ยังไม่ได้เข้าร้านเลยพี่ บุหรี่หมดยังไม่ได้ซื้อเลย” อาจจะเป็นเพราะพี่ชิดยังเล่นเกมไม่เลิก ก็เลยเห็นว่าแก่ขนาดนี้ยังเล่นได้ เราจะเล่นเกมไปเรื่อยๆ จนอายุเท่าพี่เค้าก็คงไม่ใช่เรื่องแปลก

แต่วันนี้มันเบื่อจริงๆ คงจะต้องพักบ้าง แต่จะให้ไปไหนดีล่ะ ก็ในเมื่อเวลาที่ผ่านมา นอกจากร้านเกมแล้วยังไม่เคยไปไหนเลย จะไปดูหนังเรื่องหนึ่งใช้เงิน 120 บาท เอาเงิน 120 บาทมาเล่นเกมได้ทั้งวัน เช่าการ์ตูนมาอ่านก็ไม่มีที่นั่งอ่าน กลับไปอ่านที่ห้องก็ร้อนจะตาย หรือจะเล่นแชท ก็ต้องเข้าร้านเนทอยู่ดี ไม่อยากเข้าเบื่อ เบื่อ ไม่รู้จะทำอะไรดีเบื่อจังโว้ย...

ไปหาข้าวกินก่อนดีกว่า อิ่มแล้วเผื่อจะคิดอะไรออก กระเพาะแน่นสมองแล่น
จากร้านเกมเดินออกมาถึงปากซอย ยังไม่พอใจกับร้านข้าวร้านไหนเลย เมนูทุกเมนูของร้านทุกร้านในซอย เคยผ่านลิ้นมาหมดแล้ว บางอย่างไม่ชอบ บางอย่างก็ชอบ แต่วันนี้รู้สึกไม่ชอบเลยซักอย่าง ท่าจะแย่ อาการเบื่อไม่ได้เป็นแค่เบื่อเกมเสียแล้ว มันพาให้เบื่อของกินแถวนี้ด้วย แต่ไม่เป็นไรเวลามีเหลือเฟือ ไม่อยากกินแถวนี้ ก็ถือโอกาสไปหากินที่ไกลๆหน่อยก็ได้เปลี่ยนบรรยากาศ

เดินจากปากซอยมาถึงป้ายรถเมล์ ก็ยืนตัดสินใจว่าจะไปไหนดี เพราะตลอดถนนเส้นนี้เวลานี้ นอกจากซอยที่อยู่แล้ว ยังไม่เคยเห็นมีร้านข้าวอีกเลย หรืออาจจะมีแต่ไม่ทันสังเกต แล้วถ้าจะขึ้นรถเมล์จะขึ้นสายอะไร แล้วจะไปไหน ถ้าหลงขึ้นมาจะทำยังไงเสียเวลาเปล่าๆ แล้วถ้าเกิดนั่งรถไปได้ซักป้ายนึง เกิดเจอร้านข้าวน่ากินขึ้นมา ก็ต้องรีบกระโดดลง เปลืองค่ารถเปล่าๆอีก แล้วชาวบ้านก็ต้องคิดว่าขึ้นรถผิดสายเลยรีบลง อายอีก สรุปเดินไปเรื่อยๆดีกว่า

เดินมาได้กิโลชักเริ่มเหนื่อย เหม็นควัน เสียงก็ดังเวียนหัวไปหมด เหลือบเห็นข้างหน้ามีซอยอยู่พอดี ไม่ไหวแล้วเดินไปตามถนนใหญ่เรื่อยๆต้องตายแน่ เข้าไปในซอยดีกว่า ไม่แน่อาจจะมีร้านข้าวในซอยก็เป็นได้ ว่าแล้วก็เดินเลี้ยวเข้าไปในซอย

โอ้คุณพระ ซอยที่กว้างขนาดรถผ่านได้คันเดียว อาจจะไม่ผิดปกติตรงที่เป็นซอยที่แคบเกินไป เพราะที่ไหนๆก็มีซอยแคบแบบนี้ แต่ที่แปลกคือทางยังเป็นทางดินอยู่ ทางเดินที่ไม่ใช่ทางลูกรัง ถึงแม้จะเป็นแค่ซอยแคบๆก็เถอะ แต่นี่กรุงเทพฯนะ ไม่ใช่ชาญเมืองด้วย น่าจะพกกล้องมาด้วย จะได้ถ่ายไปลงหนังสือพิมพ์คอลัมน์ประเภท “ภาพมันฟ้อง” ไม่ ไม่ ไม่ดี! ส่งไปออกทีวีดีกว่าดังกว่าเยอะ

โอ้โฮทางมันเละเหลือเกิน เละในที่นี้ไม่ใช่ว่าฝนเพิ่งตก ดินเลยเละ แต่ถนนแห้งๆนี่ล่ะ แต่ขรุขระเหลือเกิน เนินดินเล็กๆเต็มไปหมด แถมมีหินโผล่ขึ้นมาเป็นระยะๆ เดินเท้ายังลำบากขนาดนี้ เป็นรถคงพังตั้งแต่ต้นซอย ขนาดจักรยานยังขี่ยากเลย
แต่ก็น่าสนุกดี ลองเดินไปอีกหน่อยดีกว่าเผื่อจะเจออะไรแปลกกว่านี้ ไม่แน่เดินไปสุดทางอาจจะเจอบ้านขนมแบบในนิทานก็ได้

เดินมาเกือบสิบนาที ชักไม่แน่ใจว่าน่าจะเดินต่อดีหรือเปล่า ถ้าเดินต่อไปต่อให้ไม่สะดุดหกล้ม รองเท้าก็อาจจะพังไปก่อน ขณะที่กำลังจะหันหลังกลับก็รู้สึกว่ามีใครเดินตามหลังมา พอหันกลับไปก็เห็นคน 3-4 เดินตามอยู่ข้างหลัง ดูท่าทางจะไม่ใช่โจรหรือผู้ร้ายอะไร เพราะแต่ละคนก้มหน้าก้มตาเดิน พยายามเอาตัวรอดจากซอยมหาโหดนี้ให้ได้ พอเห็นก็ได้แต่แปลกใจว่าทำไมทางดีๆมีไม่ไปเดินกันนะ มาเดินกันในซอยแบบนี้

เพิ่งนึกได้ แล้วถ้าเดินกันมาเต็มซอยขนาดนี้ เราก็เดินกลับไม่ได้แล้วละสิ แต่ละคนก้มหน้าก้มตาเดินไล่เข้ามาเรื่อยๆแล้ว นี่มันรู้กันหรือเปล่าว่าเรายืนอยู่ตรงนี้ เอ...ดูท่าจะแย่ ขืนยืนอยู่ตรงดีอาจจะโดนชนล้มก็ได้ เดินต่อดีกว่าว่าแต่มันจะรีบไปไหนของมันกัน

เดินไปอีกซักพักรู้สึกว่ามีแขนใครมาดันอยู่ข้างๆ หันไปมองเป็นชายคนหนึ่งกำลังก้มหน้าเดินอยู่ เดินมาเร็วกว่าคนอื่น ก้มไปดูรองเท้ามันดูหรู ดูแข็งแรงทนทานกว่าคนอื่น มิน่าเดินเร็วนัก
นี่เราคงเดินขวางทางอยู่เลยเอาแขนมาดัน แต่เรื่องแค่นี้บอกกันก็ได้ไม่เห็นต้องดันเลย แล้วที่จริงทางก็ยังตั้งกว้าง แค่เดินเบี่ยงไปอีกนิดก็พ้นแล้ว นี่ถ้าไม่เห็นว่าตัวใหญ่กว่านะ มีมวยแน่ๆ คิดไม่ทันเสร็จก็ต้องสะดุ้งอีกที เพราะไอ้คนข้างหลังค่อยๆทยอยเดินแซงไปเรื่อยๆ คนเพิ่มขึ้นจากที่เห็นตอนแรกเป็นสิบสิบคน มาจากไหนกันเต็มไปหมด

“โว้ยอย่าผลักสิ จะเดินก็หาทางเอาเองสิ”

“ทนไม่ไหวแล้ว มามาชกกันเลยมา” ตะโกนสุดเสียงแต่ก็เหมือนไม่มีใครสนใจ

ไอ้บ้าพวกนั้นไม่รู้จะรีบไปไหนกัน ท่าทางแต่ล่ะคนก้มหน้าก้มตาเดิน เหมือนโดนสะกดจิต แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ตามไปดูว่า คนพวกนั้นไปไหนกัน สู้แรงไม่ไหว พอดีด้านข้างมีซอยเล็กๆอยู่พอดี ซอยนี้เล็กขนาดคนเดินได้คนเดียว สองข้างเป็นกำแพงฝาสังกะสี ยาวไปตลอดทาง พื้นก็ยังเป็นดินอยู่เหมือนเดิม แต่นั่นก็ไม่เป็นไรยังดีกว่าเดินไปกับไอ้พวกนั้น ถ้าต้องเดินไปกับพวกนั้นนะ ขอเดินคนเดียวเล็กๆแคบๆแบบนี้ดีกว่า

ไม่รู้เหมือนกันว่าซอยจะไปออกที่ไหน แต่เรื่องนั้นไม่น่าห่วงเท่าเรื่องว่า ถ้าเจอไอ้พวกบ้านั่นอีกจะทำยังไง ซอยแคบขนาดนี้ถ้าเจอแบบนั้นอีก คราวนี้อาจโดนเหยียบตายก็ได้ เดินคิดไปพลางก็มองซ้ายมองขวาหาทางออกไปเรื่อยๆ

โชคช่วย สังกะสีด้านซ้ายมือมันแง้มอยู่นิดหน่อย มองออกไปฝั่งตรงข้ามเป็นถนนพอดี เอาล่ะไปทางนี้ดีกว่า ไม่ทันคิดอะไรก็มุดลอดสังกะสีออกมาก่อนแล้ว

ความกว้างขนาดนี้ก็ยังเล็กเกินไปที่จะเรียกว่าถนน ขนาดก็พอๆกับซอยแรกที่เข้ามา แต่ทางดีกว่าเยอะ เป็นถนนซีเมนต์เรียบร้อย มีรั้วไม้เตี้ยๆตั้งกันอยู่สองข้างทางตลอดแนว สองข้างทางก็เป็นทุ่งหญ้า ถึงจะไม่สวยเท่ากับทุ่งดอกไม้ แต่กับเราแค่ทุ่งหญ้าแบบนี้ก็ดีพอแล้ว

สูดลมหายใจเข้าเต็มปอดหนึ่งครั้ง “กลางกรุงมีที่แบบนี้ด้วยหรือนี่” ในใจก็คิดว่า อยากใช้เวลากับถนนเส้นนี้ให้นานนาน ถ้าให้ดี อยากให้ทั้งซอยเป็นของเราคนเดียว จะโลภไปมั้ยนะ

เป็นความสุขที่ไม่ได้เจอมานานแล้ว ได้เดินสูดลมหายใจได้เต็มปอด เป็นการเดินที่สนุกที่สุดในชีวิต สนุกกว่าตอนเล่นเกมที่หน้าคอมพิวเตอร์เสียอีก เดินไปร้องเพลงไป เดินบ้างวิ่งบ้างกระโดดบ้าง รู้สึกเหมือนกับกลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง ไม่ได้บ้านะ แต่บางทีก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ ซอยทั้งซอยเหมือนเป็นของเราคนเดียว วันหลังพาแม่กับพ่อมาเดินด้วยดีกว่า เค้าคงชอบ

แต่ก่อนหน้านั้น ต้องรู้ให้ได้ก่อนว่า ตกลงซอยนี้มันไปออกที่ไหนกันแน่ ที่จริงมันก็น่าแปลกใจอยู่หรอก ว่าทางยาวขนาดนี้ ร่มรื่นขนาดนี้ เงียบสงบขนาดนี้มันยังมีอยู่ในกรุงเทพฯอีกหรือ ตรอกซอกซอยไหนบ้างที่ไม่มีรถวิ่ง ขนาดซอยตันยังมีรถ แต่ถนนสวยขนาดนี้กลับไม่มีรถวิ่ง หรือเป็นถนนส่วนบุคคล ถ้าลองได้เป็นเจ้าของซอยที่ยาวขนาดนี้ได้แล้ว มันต้องเป็นระดับนายกฯแน่ๆ หรือไม่นี่ก็คงเป็น...ความฝัน

โอย..นี่มันจะเป็นฝันได้ยังไง นี่เหนื่อยจริงนะนี่ เดินมาร่วมชั่วโมงได้แล้วมั้ง ยังไม่มีวี่แววว่าจะถึงปากซอย
เหนื่อยจังชักอยากนั่งพักหาน้ำเย็นๆกินซะแล้ว คิดเสร็จก็เหลียวซ้ายแลขวา ทั้งๆที่เดินมองมาข้างหน้าตลอด รู้อยู่แล้วว่าสองข้างทางไม่มีร้านค้าอยู่ซักร้าน แต่ก็ยังอดที่จะมองหาไม่ได้ ในขณะที่เหลียวกลับไปมองข้างหลัง ก็เห็นผู้ชายคนหนึ่งกำลังเดินตามมา อยู่ลิบๆ

จุดสังเกตอย่างแรกจนเอามาเป็นชื่อเรียกของมัน คือมันใส่แว่นก็ต้องเรียกมันว่าไอ้แว่น ใส่กางเกงขายาว เสื้อเชิ้ตสีขาว ผูกไทต์ ใส่แว่น โอ้โหครบสูตร เป็นมนุษย์ประเภทที่เกลียดที่สุด พวกเด็กเรียนเรียบร้อย คุณหนู แค่เห็นก็รู้สึกเหม็นหน้าขึ้นมา

ดูท่ามันพยายามที่จะเดินตามเราให้ทัน สายตามันจ้องมาที่เราตลอดเวลา แต่จากสภาพเหนื่อยหอบ เหงื่อโทรมขนาดนี้แสดงว่ามันต้องเร่งเดินมานานมาก ดูท่าว่าจะลงไปนอนกองได้ทุกเมื่อ ไอ้แว่นนี่ ไม่เจียมตัวเอาซะเลย ผอมกะหร่องขี้โรคขนาดนี้ ดูท่าจะไม่ค่อยได้ออกกำลังกายเลยสิท่า สมน้ำหน้า เห็นสภาพนี้แล้วก็คิดว่าเลิกสนใจดีกว่า ว่าแล้วก็เดินมองหาร้านขายน้ำต่อไป

เดินมาได้ซักพักยังไม่เจอร้านขายน้ำ แต่ยังดีที่มันแค่อยากเฉยๆ ไม่ค่อยหิวเท่าไหร่
ฮ้าวววว..ชักอยากจะนั่งพักแล้ว อาการเดิมเกิดขึ้นอีก เหลียวซ้ายแลขวาหาที่นั่ง จบด้วยการเหลียวไปมองข้างหลังนิดนึง แต่แล้วก็ต้องตกใจ ในขณะที่เอียงคอไปทางซ้ายได้ไม่ถึง 90 องศา หมายถึงยังไม่ทันเอียงคอหันข้างเต็มที่ ที่หางตาก็ปรากฏภาพเจ้าแว่น กำลังเดินเทียบข้างขึ้นมา สภาพเหนื่อยหอบ เหงื่อโทรมไม่เปลี่ยน ดูเหมือนจะลงไปนอนกองได้ทุกเมื่อ แต่ไม่ลง

หลุดอุทานในสมองแล้วว่า “เฮ้ยไอ้แว่น” ดีที่ยังไม่หลุดปากพูดออกไป ไอ้นี่มันเอาแรงมาจากไหนของมันกัน แต่ไม่ได้ มัวแต่จะมาคิดชื่นชมมันไม่ได้ มันเดินมาทีหลังแต่กำลังจะแซงไปแล้ว แสดงว่ามันต้องเดินตามมาด้วยความเร็วที่เร็วกว่าเรา เจ้าแห่งการเดินเร็วอย่างเรา ไอ้ขี้โรคอย่างมันนี่นะจะมาแข่ง อีกร้อยปีเถอะไอ้แว่น

คิดได้แค่นั้นก็เร่งฝีเท้าขึ้น “ที่ผ่านมาแค่เดินเล่นไปเรื่อยๆหรอก ถ้าข้าเอาจริงแกไม่มีทางเห็นฝุ่น” อยากจะบอกมันอย่างนี้เหมือนกัน แต่ไม่ได้ เราต้องไม่บอกให้มันรู้ว่าเรากำลังจะเอาจริง ใช้โอกาสช่วงนี้ที่มันไม่รู้ตัวว่าเรากำลังจะเอาจริง เร่งฝีเท้าเดินหนีจนมันไม่มีโอกาสตามทันอีก

ซ้าย......ขวา......ซ้าย......ขวา......ซ้าย...ขวา...ซ้าย...ขวา...ซ้ายขวาซ้ายขวาซ้ายขวา
คงก้าวเท้าข้างซ้ายหรือขวาติดกันข้างล่ะสองเท้าไม่ได้ แต่นี่เราก็เร่งสับเท้าเต็มที่แล้ว เพียงแต่ว่ายังเป็นการเดินอยู่ ถ้าวิ่งคิดว่าจะเป็นการกินแรงเกินไป ถ้ามันใช้โอกาสที่เราหมดแรงแล้วแซงขึ้นไป มีหวังตามไม่ทันแน่ เพราะอย่างนั้นต้องเก็บแรงเอาไว้บ้าง แหมอย่างเรานี่ก็เป็นนักวางแผนเหมือนกันนะ

แต่เดินมาขนาดนี้แล้วน่าทิ้งห่างมาพอสมควรแล้วนะ หรือจะพักสักนิดดี

ซ้าย......ขวา......ซ้าย......ขวา......ซ้าย...ขวา...ซ้าย...ขวา...ซ้ายขวาซ้ายขวาซ้ายขวา คงก้าวเท้าข้างซ้ายหรือขวาติดกันข้างล่ะสองเท้าไม่ได้ ถ้าทำได้ไอ้แว่นคงทำไปแล้ว เพราะถ้ามันทำได้มันคงแซงเราไปแล้ว นี่ขนาดเราเร่งฝีเท้าเต็มที่โดยที่ไม่บอกมันก่อนนะ มันยังไล่ตามมาติดๆ มิหนำซ้ำยังใช้จังหวะการเดินแทบจะเท่ากันอีกต่างหาก

“เฮ้ย เลียนแบบเหรอวะ” อยากจะถามมันจริงๆ แต่กลัวมันจะตอบกลับมาว่าถ้าไม่อยากให้เลียนแบบก็ลงไปอยู่ข้างหลังสิ ถ้าแบบนี้จะตอบมันกลับยังดี

เดินมาอีกพักใหญ่ถึงได้รู้ว่าไอ้แว่นนี่มันไม่ธรรมดาจริงๆ ทั้งๆเดินมานานขนาดนี้ มันยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุด เหนื่อยน่ะมันเหนื่อยมาตั้งนานแล้ว ตั้งแต่เห็นครั้งแรกด้วยซ้ำ แต่มันก็อึดเหมือนวัวเหมือนควาย แต่จะว่าไปไอ้คนที่เดินมาก่อนมัน ก็คงอึดเหมือนวัวเหมือนควายกว่ามัน แล้วก็น่าจะหมดแรงก่อนมัน...

ไอ้แว่นเร่งมาเดินอยู่ข้างๆได้ซักพักแล้ว ถึงตอนนี้ไม่มีใครนำหน้าใคร ที่จริงแล้วเราน่าจะมีแรงมากกว่าไอ้แห้งนี่ ดูจากรู้ร่างกล้ามเนื้อขาแล้ว เราก็ได้เปรียบอยู่ทุกทาง เพราะบางวันเลิกเล่นเกมก็มีไปเตะบอลเป็นครั้งคราว ผิดกับไอ้แว่นนี่ที่ดูเหมือนวันๆจะฝึกแต่กล้ามเนื้อลูกตา กรอกไปกรอกมาอ่านหนังสือทั้งวัน แต่ทำไม๊ทำไมทำไมนะ ทำไมมันถึงเดินได้คู่คี่กับเราขนาดนี้นะ

อ๋อเพราะรองเท้าของมันนี่เอง ยี่ห้อดังนะเนี่ย ใช้ของแพงเชียวนะไอ้แว่น รุ่นนี้เค้าโฆษณาว่ารองรับแรงกระแทกได้ดีเหมือนเดินบนเมฆ ส่วนฝั่งนี้ใส่แค่รองเท้าฟองน้ำธรรมดาตราช้างดาวไข่ รองเท้ายาจกพวกนี้ ไม่รองรับแรงกระแทก ไม่มีดอกยางช่วยยึดเกาะ ถึงแม้จะมีข้อดีที่สุดที่ระบบระบายอากาศ แต่ไม่มีระบบระบายน้ำ พอเดินไปเรื่อย เหงื่อมันชักจะออก เดินลื่นไปลื่นมา ชักเดินไม่ถนัด แต่ยังไงก็ไม่ยอมแพ้หรอก

“รวยกว่าแล้วเป็นไงวะ ยังไงก็ไม่มีถอยอยู่แล้ว ถึงมีรองเท้าดี แต่แรงไม่มีอย่างนี้ อย่างมากก็ทำได้แค่เสมอแค่นั่นล่ะไอ้แว่น” นี่ก็ได้แต่คิด ขืนพูดออกไปเดี๋ยวมันจะหาว่า เห็นว่าเสียเปรียบไปตีโพยตีพายกับมัน

ตอนนี้รู้ตัวว่าเสียเปรียบเรื่องอุปกรณ์นิดหน่อย แต่เรื่องกำลังไม่มีแพ้ ที่เหลืออาจจะเป็นแค่ดวง ใครดวงดีกว่าก็ชนะไป

ถูกแล้วใครดวงดีกว่าก็ชนะไป แล้วคนที่ดวงซวยอย่างเราต้องทำยังไงล่ะทีนี้...

โอ้ววันอื่นมีตั้งหลายวันไม่มาขุด ดันมาขุดถนนอะไรกันวันนี้ เราเดินอยู่ทางขวา ไอ้แว่นเดินอยู่ทางซ้าย ที่ขุดทางซ่อมทางมันมาอยู่ทางขวา ทางซ้ายเว้นเอาไว้ให้เดินได้ ระยะอีกประมาณ 100 เมตรจะถึง จุดซ่อมถนน เอาวะพระเจ้าไม่เป็นใจ ก็ต้องใช้แรงของตัวเองเข้าสู้ ระยะที่เหลือยังไงก็ต้องเร่งแซงไอ้แว่นให้ได้ เอาวะพลังเอ๊ยจงเป็นของข้า...

60 เมตร... 50 เมตร... 40 เมตร... จะเร่งฝีเท้าแค่ไหนไอ้แว่นก็พยายามเร่งเดินไม่ยอมให้แซงไปได้ 30 เมตรเข้าไปแล้ว กฎหมายห้ามแซงก่อนถึงสะพานในระยะ 30 เมตรนะเว่ย ไอ้แว่นให้ข้าแซงไปก่อนเดี๋ยวตำรวจจับ
อ่อ...แต่นี่มันไม่ใช่ขับรถนี่ เดินแข่งกันกติกาขับรถมายุ่งอะไรด้วย ว่าแล้วก็พยายามเร่งฝีเท้าต่อเพื่อจะจะให้แซงมันให้ได้ แต่เดี๋ยวไอ้นี่มันเดินคู่เรามาทางซ้ายตลอดเลยเหรอนี่

“กฎหมายเค้าห้ามแซงทางซ้ายนะไอ้แว่นนนนนนนนนน” ตะโกนสุดเสียงอยู่ในใจ แต่ยังไม่วายที่จะมาเสียงแปร่งลอดออกมาได้นิดหน่อย

พอคิดจบก็หยุดยืนอยู่หน้าป้ายที่เขียนว่า “ห้ามผ่าน กำลังมีการซ่อมทาง”พอดี ได้แต่ยืนหยุดรอให้ไอ้แว่นเดินผ่านไปก่อน แล้วค่อยเดินตาม ถึงไม่รู้ว่าปกติรถยนต์เร่งความเร็วจาก 0-100 จะใช้เวลาเท่าไหร่ ในตอนนี้รู้แต่ว่ากำลังใจจาก 100 หดมาเหลือ 0 ใช้เวลาแค่เสี้ยววินาที

ไอ้แว่นยังเร่งเดินต่อไป ในขณะที่เราได้แต่เดินลากเท้าไปทีละข้างๆ ก้าวแต่ล่ะก้าวทำไมมันหนักขนาดนี้นะ
ฟ้าเอ๋ยมันสมควรแล้วหรือ ทั้งที่เราพยายามไม่ได้น้อยกว่าใคร แต่ทำไมต้องมีแต่เราที่เจอเรื่องแบบนี้นะ คิดได้เท่านั้นก็ไม่มีแรงจะเดินต่อ

ส่วนไอ้แว่นขนาดไม่มีเราแข่งด้วยแล้วทำไมมันยังเร่งเดินต่อไปอีกนะ
อ่อลืมไปที่จริงมันอาจจะไม่ได้คิดที่จะแข่งกับเราตั้งแต่แรกแล้วก็ได้ ที่จริงมันอาจจะเดินของมันอยู่เฉยๆ แล้วเราไปคิดเอาเองว่ามันจะแข่งด้วย ถ้าเราเป็นมันอาจจะคิดว่า “ไอ้บ้านี่มาเดินแข่งอยู่ได้ คนจะรีบไป” อะไรทำนองนี้ คิดแล้วก็น่าหัวเราะเยอะตัวเอง

ตอนนี้ได้แต่คิดว่า เดินมาไกลแล้วเหมือนกันนะ ชักจะเหนื่อยเสียแล้วสิ ขณะที่ทรุดลงนั่งข้างทางก็รู้สึกว่ามีคนเดินผ่านหน้าไป หนึ่งคน สองคน สามคน...สิบคน

ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ไม่มีวี่แววเลยว่าซอยซอยนี้จะมีผู้คนพลุ่กพล่านขนาดนี้ แต่ตอนนี้กลับมีคนเดินเต็มไปหมด ทุกกำลังเร่งเดินกันเต็มที่ สภาพเหมือนตอนที่เราเห็นเจ้าแว่นครั้งแรก แต่ละคนที่เดินผ่านเราไปก็หันมามองเราแวบหนึ่งแล้วก็เดินต่อไป

ถึงจะรู้สึกว่าทุกคนกำลังเร่งฝีเท้าอย่างเต็มที่ แต่ในสายตาเราก็บอกได้ว่า พวกนี้เดินเร็วไม่เท่ากับตอนที่เราเดินแข่งกับไอ้แว่น โถ่เอ้ยถ้าเราแข่งกับไอ้พวกนี้แทนไอ้แว่นขี้โรคนั่นนะ เราชนะไปนานแล้ว

ไอ้แว่นขี้โรค ไอ้แว่นขี้โรค นี่เราแพ้ไอ้แว่นขี้โรคนั่นแล้วเหรอนี่ ไม่สิ ไม่ ไม่ ยังไม่แพ้สักหน่อย แค่โดนมันแซงไปครั้งเดียวเอง ทั้งๆที่ไอ้แว่นมันเดินมาทีหลังเรามันยังมีโอกาสแซงไปได้ แล้วเราจะไม่มีโอกาสแซงมันกลับได้เชียวหรือ ไอ้แว่นมันบักโกรกขนาดนั้น เดินไปอีกไม่นานมันอาจจะหมดแรงก็ได้ แรงเราก็ยังมีไม่ชนะก็ให้รู้ไป แล้วอีกอย่าง ยิ่งยอมไม่ได้เข้าไปใหญ่ ถ้าสุดท้ายเราหรือไอ้แว่นต้องมาแพ้ไอ้พวกเต่าพวกนี้

คิดได้แล้วก็ลุกขึ้นเดินต่อ ยังรู้สึกเส้นเลือดที่ขามันยังเต้นตุบๆอยู่ เหมือนจะรีบฉีดเลือดเข้าไปเลี้ยงขาให้ทัน เหมือนมันจะบอกว่ายังไหว ไปเลยเพ่

อย่างน้อยที่หยุดเดินไปก็เหมือนกับได้พักแล้วนิดหน่อย สิ่งที่ต้องทำตอนนี้คือต้องรีบตามเจ้าแว่นให้ทันก่อน ก่อนที่มันจะทิ้งห่างไปกว่านี้ เพราะฉะนั้นไม่ต้องคิดอะไรมากแล้วรีบเดินดีกว่า

หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า ไม่ทันไรก็แซงพวกที่เดินแซงเราตอนที่นั่งพักไปได้ 5 คนแล้ว ไอ้พวกนี้มันเต่าจริงๆ ถ้าเป็นไอ้พวกนี้นะ ต่อให้มีสักร้อยคนก็ไม่มีทางแพ้

แต่นอกจากระวังคู่แข่งแล้ว ตอนนี้เรายังคอยระวังทางตลอดเวลา ไม่ได้หมายความว่า ข้างทางจะมีใครคอยดักทำร้าย แต่เรารู้แล้วว่า ทางที่เห็นว่าแน่นอน บางทีก็มีใครมาขุดซ่อมถนนได้เหมือนกัน เพื่อไม่ให้เกินการซ้ำรอย มันก็ต้องคอยดูหน้า ดูหลัง ดูซ้าย ดูขวา เพื่อความปลอดภัย

เดินมาได้อีกพักใหญ่ยังไม่เห็นเจ้าแว่นกับอีก 5 คนที่เหลือ แต่กลับเห็นเหล็กกั้นลายขาวแดงกั้นทางอยู่ เหล็กกั้นถนนเหมือนที่ชอบใช้กันตามหมู่บ้าน แต่ต่างตรงที่ว่าดูท่าทางมันจะยกเปิดไม่ได้ แล้วอีกอย่าง ทำไมมันกว้างขนาดนี้
ความสูงของเหล็กก็ประมาณหน้าอกของเรา ยกสูงจากพื้นประมาณ 5 ซม. ตัวแผ่นเหล็กกว้างเมตรครึ่งได้
จะเอายังไงดีล่ะ ด้านข้างก็ไปไม่ได้ เรารั้วมันกันยาวออกไปนอกถนนด้วย ใครมันเป็นคนคิดกันวะ ไอ้การกั้นรัวแบบนี้ คนรีบจะตายยังมากั้นรั้วขวางอีก

การที่เจอแต่รั้วแต่ไม่เห็นพวกที่เดินมาก่อน แสดงว่าพวกนั้นข้ามรั้วไปแล้ว แต่ว่าจะข้ามยังไงล่ะ จะมุดไปช่องก็แคบเหลือเกิน ผ่านไม่ได้แน่นอน มีทางเดียวคือต้องกระโดดข้ามไป
ด้วยแรงที่มีตอนนี้ไม่น่าจะยาก หรือถึงยาก ก็ต้องทำแล้วล่ะ ไม่มีทางอื่นแล้วขึ้นมัวคิดหน้าคิดหลังก็ตามไม่ทันพอดี เอาวะ ถอยไปตั้งหลักก่อน จากนั้นก็เริ่มวิ่งเต็มฝีเท้า หนึ่ง สอง สาม โดดดดดดดด

ตัวลอยข้ามรั้วมาได้อย่างหวุดหวิด แต่รองเท้าดันไปเกี่ยวกับรั้วเหล็กนิดหน่อย ทำให้เสียจังหวะตอนลงพื้น แต่ยังโชคดีที่แค่เซไปสองสามก้าว ไม่ถึงกับล้ม ทำให้กรรมการตัดคะแนนได้ไม่มาก แต่เพราะโดนเกี่ยวรองเท้าทำให้จังหวะลงตัวหมุนกลับหลัง ขณะที่กำลังชูมือเพื่อแสดงว่าทรงตัวได้สมบูรณ์แล้วก็เงยหน้ามองไปข้างหน้า แล้วก็เห็น 5 คนที่เราแซงไปเมื่อกี้กำลังเร่งเดินตามมา

มัวแต่เล่นอยู่ไม่ได้แล้ว รีบเดินต่อดีกว่า จังหวะที่หันหลังกลับกำลังจะเตรียมเดินต่อ ก็ไปสะดุดกับใครคนหนึ่งเข้า

“ไอ้แว่น” คราวนี้หลุดพูดออกมาเต็มปาก มันมานั่งอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ไม่ทันสังเกตุ

“ใครแว่น ไม่ได้รู้จักกันไม่ต้องมาเรียกเลย” โฮ่ไอ้นี่กวนตีนอย่างที่คิดไว้เลย ช่วงแวบหนึ่งที่เห็นมันนั่งอยู่ เราเกิดความรู้สึกสงสัย ปนสงสารอยากจะช่วยอยู่เหมือนกัน ต่อไปได้ยินแบบนั้นก็หมดอารมณ์ทันที

กวนตีนนะมึง นั่งอยู่อย่างนี้เถอะ ไอ้แว่นหมดแรงแล้ว ข้างหน้าก็เหลือแต่เต่า งานนี้ไม่พ้นแชมป์แน่เรา จากนั้นก็ลุกขึ้นปัดฝุ่นใส่ไอ้แว่นสองสามที แล้วก็เดินต่อไป

ไอ้แว่นเอ๊ย คนอุตส่าห์คิดจะช่วย กลับมาทำปากดี มันก็สมควรแล้ว นั่งอยู่ตรงนั้นถ้าเกิดมีใครไม่ทันเห็นกระโดดข้ามรั้ว มาเหยียบเข้าทีนี้ได้พิการกว่าเก่าแน่ โธ่เดินด้วยกันมาตั้งนาน มามีจุดจบแบบนี้ คิดแล้วก็น่าสงสาร

“เพราะข้าสงสารหรอกนะ แม่สอนไว้ ไม่ว่าจะเป็นใครถ้าเห็นว่าเดือดร้อนช่วยได้ก็ให้ช่วย งานนี้เอ็งต้องขอบคุณแม่ข้า” ก็เป็นเพราะนึกถึงคำสอนของแม่ขึ้นมาได้ ถึงได้เดินย้อนกลับมาช่วยไอ้แว่น โชคดีที่ยังไม่มีใครกระโดดข้ามรั้วมาเหยียบมันเข้าเสียก่อน แต่ก็เห็นหัวใครลอดใต้รั้วเข้ามาแล้ว

ไอ้แว่นไม่พูดอะไร ตอนพยุงขึ้นมาได้ยินเสียงร้องครางเบาๆในลำคอ ถ้าทางอาการจะหนักเอาการ แต่ก็ยังไม่ยอมทำท่าเจ็บปวดออกมาให้เห็น ไอ้นี่มันอึดจริงแฮะ

พยุงมาได้ซักพักก็เริ่มคุยกัน ไอ้แว่นบอกว่า พอเห็นเราต้องหยุดเพราะไปติดที่เค้าทำถนนอยู่ ก็พยายามเร่งฝีเท้าขึ้นอีกเพื่อทิ้งห่างให้ได้มากที่สุด พอเห็นว่าห่างพอสมควรแล้วก็ลดความเร็วลง เดินพักขามาเรื่อยๆ จนมาถึงรั้วเหล็ก ขณะกำลังหาทางข้ามไปอยู่ก็เห็นคนเดินตามมาไกลๆ ไอ้แว่นก็นึกว่าเราเดินตามมาทัน เลยตัดสินใจกระโดดข้ามรั้ว

แต่โชคร้ายถึงมันจะลดความเร็วพักขามาบ้างแล้วแต่ก็ยังไม่มากพอ ขามันข้ามไม่พ้น ทำให้มันเสียหลักหกล้ม แล้วพอดีไอ้พวกที่ตามมาข้างหลัง ก็มีคนหนึ่งกระโดดข้ามรั้วมาไม่ทันเห็นเหยียบขาเจ้าแว่นซ้ำเข้าไปอีกที คราวนี้เลยเจ็บหนักเข้าไปใหญ่

“ขอบใจมากนะ แต่เราคงเดินไปเองไม่ไหวแล้วล่ะ ปล่อยเราไว้ตรงนี้เถอะ เดี๋ยวจะตามพวกกลุ่มนำไม่ทัน”

“เฮ้ย เห็นข้าเป็นคนยังไงวะ คิดว่าเพื่อนจะทิ้งเพื่อนได้ลงคอหรือไง” ที่จริงเห็นสภาพแล้วก็คิดจะปล่อยไว้ข้างทางเหมือนกัน แต่พอฟังมันพูดเข้าเลยตัดใจไม่ลง

“เพื่อนเหรอ ตลกจังนะ ตอนเจอครั้งแรกยังไม่มีวี่แววว่าจะได้เป็นเพื่อนกัน แล้วยิ่งตอนแข่งกันนี่เราถือว่านายเป็นศัตรูเลยนะ” ไอ้แว่นพูดไปยิ้มไป

“นี่ถ้ายิ้มตั้งแต่แรกที่เจอกัน เราก็ไม่คิดจะแข่งด้วยแล้ว แหมเล่นเดินจ้องมาเหมือนจะฆ่ากันมันก็ต้องเจอกันหน่อย”

“เราก็ไม่ได้คิดจะแข่งอะไรกับนายหรอก แต่พอเห็นนายอยู่ข้างหน้า เราก็เลยคิดว่า เอานายนี่ล่ะเป็นเป้าหมาย เราจะได้มีแรงเดินต่อไปยังไง”

“แค่นี้เหรอ โถ่ไอ้แว่น รู้มั้ยว่าข้าเกือบจะถอดใจอยู่แล้ว ตอนที่ต้องหยุดให้เอ็งแซงไปตอนนั้น โชคดีนะที่ไม่หยุด ถ้าขืนหยุดไปแล้วมารู้ทีหลังว่าเอ็งคิดแค่นี้นะ ข้าต้องผูกคอตายแน่ๆ” พูดจบก็อดขำไม่ได้ ไอ้แว่นก็หัวเราะออกมาด้วย

ตอนนี้อีก 5 คนที่ตามหลังเราเมื่อกี้ เดินแซงเราไปหมดแล้ว แล้วยังมีอีกสองสามคนที่ไม่เคยเห็นหน้าเดินแซงเราไป แต่ตอนนี้ผมไม่สนใจเดินแข่งกับใครอีกแล้ว ส่วนเจ้าแว่นมีบ่นเป็นระยะๆว่าถ้าเป็นปกตินะ ไม่มีทางให้ใครแซงแน่นอน ผมก็ได้แต่บอกให้ใจเย็น ดูแลตัวเองให้ดีขึ้นก่อนดีกว่า แล้วค่อยออกไปแข่งใหม่ก็ยังไม่สาย

เดินมาอีกระยะหนึ่ง ก็มาดูขาเจ้าแว่นดีขึ้นมากแล้ว แต่ผมก็ยังคอยประคองอยู่เพื่อเจ้าแว่นจะได้ไม่ต้องใช้แรงมาก จะได้หายเร็วขึ้น เราประคองกันเดินมาเรื่อยๆจนถึงทางแยก

ทางสายที่เดินอยู่นี้ยาวมาก ยาวจนผมไม่คิดว่ามันจะมีทางแยกมาก่อน เจ้าแว่นหยุดยืนมองที่ทางแยกแล้วบอกกับผมว่า ทางเส้นนี้ท่าทางจะมีคนเดินไปไม่เท่าไหร่ ถ้าจะแข่งต่อ ทางเส้นนี้อาจมีโอกาสเป็นผู้นำอีกครั้ง
แล้วก็ชักชวนผมให้เดินไปกับมัน แต่ผมปฏิเสธ ผมชอบเส้นทางสายนี้ ถึงแม้ว่าจะไม่สามารถเป็นที่หนึ่ง หรือไม่สามารถแซงใครได้อีก เพราะผมรู้ว่าเวลานี้ผมล้ามากแล้ว แต่ผมก็มีความสุขที่ได้เดินอยู่กับถนนสายที่ผมชอบ

กับทางแยกที่เจ้าแว่นจะเดินไป มันก็เหมือนทางที่ผมเดินผ่านมา เพียงแต่มันไม่ราบเรียบสวยงามเท่า เจ้าแว่นยืนยันว่ายังอยากจะแข่งต่อในสนามที่คิดว่าสามารถเป็นที่หนึ่งได้ ตอนนี้ร่างกายมันเกือบจะเรียกว่าเป็นปกติแล้ว มันพร้อมที่จะเดินต่อไป ผมก็เข้าใจในความคิดของมัน และมันก็เข้าใจในความคิดของผม ถึงแม้เราจะต้องแยกทางกันเดินตรงนี้ แต่เราก็ยังสามารถติดต่อกันผ่านโทรศัพท์ได้ ไม่แน่ว่าในทางข้างหน้าทางที่เราเดินอาจจะมาบรรจบกัน จนต้องแข่งกันใหม่ก็ได้

เจ้าแว่นเดินลับตาไปแล้ว ในขณะที่ผมยังคงยืนส่งอยู่กับที่ด้วยสายตา ในขณะที่สมองสั่งการให้หันไปทางขวาเพื่อตั้งหน้าตั้งตาเดินต่อ หัวใจกลับบอกว่าให้หันไปกลับหลังก่อน หันหลังไปเพื่อมองกลับไปในเส้นทางที่เดินผ่านมา

ถึงแม้สายตาจะมองเห็นทางที่ผ่านมาได้จำกัด แต่สมองกลับส่งเรื่องราวต่างๆออกมาให้นึกถึงอย่างไม่หมด ทุกอย่างที่ผ่านมาเป็นความโชคดีที่หายากจริงๆ

โชคดีที่ได้เจอกับธุรกิจที่เราชอบ ทำให้เราสามารถดำเนินธุรกิจมาได้ด้วยความสนุกสนาน โชคดีที่ได้เจอกับเจ้าแว่น เพราะถ้าด้วยนิสัยเรื่อยเปื่อยไม่มีจุดหมายอย่างเราแล้ว ถึงแม้จะชอบงานที่ทำขนาดไหน แต่ถ้าไม่มีคู่แข่ง ไม่มีเป้าหมาย เราอาจจะทำงานแบบทำไปวันๆก็ได้ เพราะได้เจ้าแว่นเลยทำให้เราได้พัฒนาตัวเองขึ้นมา เพื่อไม่ให้แพ้คู่แข่งที่น่ากลัวอย่างมัน

โชคดีที่เราได้หยุดเมื่อเจออุปสรรค์ ทำให้เรารอบคอบมากขึ้นในการเดินก้าวต่อๆมา เมื่อผ่านอุปสรรค์แรกมาได้ ถึงอุปสรรค์ต่อมาจะร้ายแรงแค่ไหน เราก็สามารถก้าวข้ามมันไปได้ โชคดีที่แม่สอนมาดี ทำให้เรามีโอกาสได้เพื่อนที่ดีอย่างเจ้าแว่น

“ถ้ามีปัญหาเรียกเราได้เสมอนะ เรายอมทิ้งทุกอย่างเพื่อมาช่วยนาย” เสียงเจ้าแว่นพูดไว้ก่อนปล่อยมือออกจากมือเรา

โชคดีที่เราเป็นเรา โชคดีที่เราพอใจกับอะไรที่ง่ายๆ ถ้าเป็นที่หนึ่งง่ายๆก็เป็น แต่ถ้าเป็นที่สอง สาม สี่ ห้า หกจนถึงที่ร้อย แล้วไม่เดือดร้อนก็จะเป็น

โชคดีที่เราพอเพียง โชคดีที่สิ่งที่มีอยู่เพียงพอกับที่เราต้องการ โชคดีที่ 30 ปีที่ผ่านมามีแต่เรื่องโชคดี และสุดท้ายคือโชคดีที่ฉันได้เดินผ่านประตูบานนั้นมา

งานแต่งที่นึกถึง

วันนี้เอาเรื่องสั้นที่เกี่ยวกับงานแต่งงานลง เลยทำให้คิดถึงงานแต่งงานที่ไปมาจริงๆแล้วรู้สึกชอบมากๆ
ไม่ใช่ๆ ไม่ใช่ชอบมาก เป็นงานที่รักมาก เป็นงานแต่งงานที่ให้ความสุขเวลาที่ไปร่วมงานได้จริงๆ

แน่นอนล่ะว่าที่มีความสุขเพราะส่วนหนึ่งก็รู้จักกับคู่บ่าวสาวเป็นการส่วนตัว โดยเฉพาะกับเจ้าสาวที่เป็นรุ่นน้องที่รู้จักกันมานาน

ในขณะที่ก้าวเท้าเข้าไปในบ้านที่เป็นที่จัดพิธีรดน้ำตอนเช้าอย่างประหม่า แต่พอได้เห็นเจ้าสาวยิ้มให้อย่างไม่มีเกรงใจแขกคนอื่นก็ทำให้รู้สึกอิจฉาเจ้าบ่ีาวขึ้นมาถนัดใจ

งานเช้าไม่มีรูปคงไม่เล่าดีกว่า เพราะยังไม่มีอะไรมาก (ที่จรีิงก็มีล่ะ แต่ถ้าเล่าคงจะยาว) หนีไปโม้เรื่องตอนเย็นเลยดีกว่า

งานแต่งงานก็คงคล้ายกับงานในเรื่องที่เขียนนั่นล่ะ เป็นงานแต่งงานเล็กๆ แต่เปลี่ยนจากโรงพละเป็นศาลาประชุมของ อบต.

เดินเข้าไปในงานตอนที่งานเข้าเริ่มไปนานแล้ว เค้าเริ่มกินกันไปซักพักแล้ว โต๊ะก็ไม่มีก็ยืนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ที่ได้เห็นงานแต่งงานของน้อง แล้วก็ได้เห็นน้องที่เดินไปเดินมา ทักคนนั้นทีคนโน้นทีโดยไม่มีสีหน้าเหน็ดเหนื่อย

เกือบทุกคนที่มางานเป็นคนที่ไม่คนใดก็คนหนึ่งรู้จัก การทักทายจึงรู้สึกสนิดสนมใจ การได้ขอบคุณคนคุ้นเคยคงไม่ทำให้เหนื่อยอะไรเลย

เจ้าสาวกับเจ้าบ่าวเปรี้ยวมาก จากรูปหน้างานแต่งงานรูปใหญ่ที่ใช้ในงาน บอกได้เลยว่างานนี้เป็นงานของทั้งสองคนจริงๆ (ดูรูปด้านบนประกอบ)

ออกจะโม้เกินไปซะแล้ว ลืมวงเล็บไว้ด้วยว่าเป็นพื้นที่โฆษณา.. อ่อๆ ไม่ได้โฆษณานะ แต่รู้สึกอย่างนั้นจริงๆ

แล้วอีกส่วนของงานที่ชอบมากคือวงดนตรี

วงเปิด(งานนี้เค้าใช้วงดนตรี ๒ วง วงแรกที่เล่นเลยบเรียกว่าวงเปิดแล้วกัน) เล่นเพลงทั่วๆไปไม่ค่อยมีอะไรน่าสนใจเท่าไหร่ ขึ้นมาเมื่อไหร่ ลงไปเมื่อไหร่จำไม่ค่อยได้

แต่ช่วงก่อนพิธีกล่าวคำอวยพรจะเริ่มก็มีวงอีกวงหนึ่งขึ้นมาบนเวที จังหวะแรกที่เห็นเลยเนี่ย ในใจนึกว่าวงอะไรหว่า ขึ้นเวทีมาทำอะไรกัน

บนเวทีมีการเอาเก้าอีกมาตั้ง ๒ ตัว แล้วก็มีการจูงผู้ชาย ๑ คน กับผู้หญิง ๑ คนขึ้นมาบนเวที ดูหน้าตาตอนแรกบอกตัวเองว่า ดาวน์นี่นา (down syndrome) เพราะนอกจากหน้าแปลกๆแล้วยังนั่งโยกไปมาๆอยู่นั่น

ถ้าจำไม่ผิด ๒ คนนั่งอยู่อย่างนั้นจนจบพิธีบนเวที แล้วหลังจากนั้นเป็นการกินอาหารส่วนที่เหลือพร้อมฟังดนตรี พอถึงตอนนี้ล่ะถึงได้รู้

นักดนตรีคนอื่นถูกจูงขึ้นมาบนเวที

จูงขึ้นมาจริงๆครับ เพราะพวกเค้าตาบอกสนิททุกคน รวมทั้ง ๒ คนก่อนหน้านั้นด้วย นักดนตรี ๓ คนมีมือกีตาร์ มือกลอง และมีเบส ขึ้นมาเซ็ตเครื่องของตัวเองเสร็จก็เริมบรรเลง

พอเริ่มเพลงเท่านั้นล่ะ ต้องยกมือไหว้อย่างลืมตัว เพราะแน่นมาก คนตาบอดเล่นจริงเหรอเนี่ย แน่น แม่น และเพราะมาก แต่ ๒ นาทีหลังจากนั้นก็ต้องยกมือขึ้นมาไหว้อีกครั้ง เพราะคนที่เราเรียกว่าดาวน์ในตอนแรกร้องเพลงเพราะกว่านักร้องชื่อดังในประเทศหลายๆคน เสียงดีมาก

เทพจริงๆนะ เล่นเพลงได้หลายแนวมาก แล้วไม่ใช่แค่เพลงไทย เพลง when you say nothing at all จากมือกลองฟังแล้วอยากจะชวนออกเทป เทพจริงๆครับ

น่าจะยังไม่มีเยอะมั้งที่งานแต่งงานจะเลือกวงดนตรีตาบอดทั้งวงมาเล่น (รวมคนคุมแผง mixer ด้วย) แล้วคิดว่าคงไม่ใช่ผู้ใหญ่จัดหาให้หรอก ถ้าเป็นสไตล์นี้ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าใครเป็นคนเลือก ถึงได้บอกว่างานแต่งงานที่เป็นของเจ้าของงานจริงๆมันดูมีความสุขจริงๆนะ

ท้ายงานวงดนตรีไม่รู้บรรเลงเพลงอะไรบ้างแล้ว แต่เจ้าบ่าวเจ้าสาวจูงมือกัน กวักมือเรียกเพื่อนๆ ออกไปเต้นกันสนุกสนาน เหงื่อท่วมหน้าเจ้าบ่าวเจ้าสาว ไม่ห่วงสวยเลยคนนี้ กลับบ้านด้วยความสุขของจริง (love bike มันเป็นเรื่องแต่ง แต่ถึงเป็นเรื่องจริง อาจจะไม่ชอบเท่งานนี้ก็ได้)

อ่อสุดท้ายที่ชอบอีกอย่างแปล้วลืมบอกไป ในการ์ดแต่งงานมีเขียนอยู่ที่มุมด้วยว่า "งานนี้งดแอลกอฮอล์" แม่นมั่นดีมั้ยล่ะ

วันจันทร์ที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2553

Love Bike

เคยไปงานแต่งงานของใครแล้วรู้สึกประทับใจบ้างมั้ย

ประทับใจอะไรกับงานแต่งงานนั้น

เจ้าบ่าวหล่อ เจ้าสาวสวย จัดในโรงแรมห้าดาว อาหารเมนูฮ่องเต้ แขกผู้ร่วมงานเรือนหมื่น ฯลฯ

ผมก็เคยไปงานแต่งงานงานหนึ่ง แขกร่วมงานมีไม่ถึงร้อยคน งานจัดในโรงพละของโรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่ง อาหารเป็นโต๊ะจีนราคาถูก กระเพาะปลาปลอม รอบๆตั้งพัดลมตัวใหญ่ 6-7 ตัว พัดไม่ทั่วถึง เจ้าสาวไม่สวย เจ้าบ่าวก็ไม่หล่อ แต่เป็นงานแต่งงานที่น่ารักอย่างบอกไม่ถูก

ก็เหมือนงานแต่งงานทั่วๆไปที่เจ้าบ่าวเจ้าสาวออกมายืนต้อนรับแขกหน้างาน ผมไปงานแต่งงานในฐานะเพื่อนของเพื่อนเจ้าบ่าว ซึ่งก็คือไม่รู้จักกับทั้งเจ้าบ่าวและเจ้าสาว

บรรยากาศงานทั้งอับทั้งร้อน แค่ดูน้ำจิ้มที่วางอยู่บนโต๊ะ จานชามช้อนส้อมก็พอเดาได้ว่า อาหารก็น่าจะแค่พอประทังชีวิต แขกแต่ละโต๊ะคุยกันเสียงดัง เหมือนงานโต๊ะจีนศาลเจ้า ตอนแรกคิดว่าขอแค่บรรลุ 2 เรื่องก็จะกลับ

เรื่องแรกคือขอให้กินอิ่มให้สมกับที่เสียเวลาก่อน และอีกเรื่องคือ ขอแค่ให้รู้ว่าไอ้รถมอเตอร์ไซค์เก่ากึ๊กที่ตั้งอยู่บนเวทีนั่นมันคืออะไร
มอเตอร์ไซค์สีแดง รุ่นเก่าประมาณ 20 ปีที่แล้วตั้งอยู่ริมฝั่งซ้ายของเวที ตั้งอยู่อย่างนั้นเพียงคันเดียว นอกจากนั้นบนเวทีก็ไม่มีอะไรอีก นอกจากฉากหลังที่เป็นโฟมตัดเป็นรูปหัวใจ กับโฟมที่ตัดเป็นชื่อของเจ้าบ่าวเจ้าสาว เหมือนกับงานแต่งงานทั่วๆไป

งานแต่งงานดำเนินไปเหมือนกับทั่วๆไป พออาหารจานที่ 2 ถูกยกมาเสิร์ฟ ไฟบนเวทีก็ค่อยๆหรี่ลง

“อย่างกับฉายหนัง”

คิดอย่างประชดประชัน มันจะเรื่องมากอะไรกันนักกันหนา คนจะรีบกินรีบกลับ ต้องมาดูโชว์อะไรอีก ถ้าจะจ้างโชว์อะไรไร้สาระมาให้ดู เอาตังค์ไปซื้ออาหารที่มันเข้าท่ากว่านี้ดีกว่า

ถึงคิดอย่างนั้นแต่ตาก็ยังจ้องบนเวทีรอดูว่าจะมีอะไรให้ดู

เจ้าบ่าวกับเจ้าสาวออกมาจากฝั่งขวาของเวที ในมือถือไมค์ลอยคนล่ะอัน เดินมาหยุดยืนอยู่กลางเวทียกมือไหว้แขกที่อยู่ข้างล่าง แขกก็วางตะเกียบกันแทบไม่ทัน เสียงปรบมือตังกระปลิดกระปอย แต่ไฟยังไม่เปิดขึ้น

พอเสียงปรบมือหยุดลง เจ้าบ่าวกับเจ้าสาวก็เดินไปที่มอเตอร์ไซค์สีแดงเก่าคร่ำคนนั้น แล้วไฟก็ค่อยๆเปิดสว่างขึ้น เจ้าบ่าวกับเจ้าสาวผลัดกันขึ้นผลัดกันลงมอเตอร์ไซค์คันนั้น แล้วก็พูดบทที่เหมือนกับท่องเอาไว้ไปเรื่อยๆ

ตอนแรกเจ้าบ่าวขึ้นก่อน แล้วก็บอกประมาณว่า

“คนเราเมื่อเดินทางมาถึงเวลาหนึ่ง (เดินทางโดยขี่มอเตอร์ไซค์) เราอาจจะพบเจอใครคนหนึ่งที่เรารู้สึกว่าไปกับเราได้”

เจ้าสาวขึ้นมานั่งซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์

“เราอาจจะชวนเค้ามาร่วมเดินทางไปกับเรา (โดยการขี่มอเตอร์ไซค์)”

เจ้าบ่าวเจ้าสาวลงจากมอเตอร์ไซค์ แลกที่กับเจ้าสาวเป็นคนขี่ เจ้าบ่าวซ้อนท้าย

“ถ้าคุณจะเลือกใครสักคนที่จะเดินทางไปกับคุณ คุณจะเลือกคนแบบไหน แต่กับเรา เราเลือกคนที่ช่วยเหลือและทดแทนกันได้ในเวลาที่ใครอ่อนแรง”

เนื้อเรื่องน่าสนใจพอใช้ได้ แต่ตัวแสดงแข็งเหลือเกิน ทั้งเจ้าบ่าวเจ้าสาวแสดงเหมือนตัวประกอบหน้าใหม่มากกว่าตัวเอก

ดูได้แค่นั้นผมก็ไม่สนใจดูอีก ผมนั่งคีบอาหารกินอย่างรวดเร็ว ผมรู้แล้วว่ามอเตอร์ไซค์ใช้ทำอะไร ซึ่งมันน่าผิดหวังอย่างบอกไม่ถูก เวลาตอนนี้ผมก็แค่กินให้อิ่มแล้วก็ลากเพื่อนกลับบ้านไปดูทีวีดีกว่า

เสียงปรบมือดังขึ้น เจ้าบ่าวกับเจ้าสาวก้าวลงจากมอเตอร์ไซค์ เดินมากลางเวที พิธีกรเดินมาจากไหนไม่รู้ พูดชมบทละครน้ำเน่าที่เพิ่งผ่านไปไม่ขาดปาก เจ้าบ่าวกับเจ้าสาวผลัดกันปาดเหงื่อให้กัน และพิธีก็ดำเนินงานต่อไปตามปกติ

ในระหว่างที่พ่อแม่เจ้าบ่าวเจ้าสาว กับญาติทั้งหลายขึ้นไปพูดอะไรต่ออะไรกันบนเวที ผมก็กินไปกินไป ไม่ได้เหลือบตาไปสนใจบนเวทีอีก ผมอยากกลับบ้านจะแย่อยู่แล้ว

และพอกินอิ่มขณะที่กำลังจะออกปากเรียกเพื่อให้กลับบ้าน พอดีที่เจ้าบ่าวดันเรียกเพื่อนผมให้ขึ้นไปบนเวทีเสียนี่ แต่ก็เอาเถอะเค้าประกาศเรียกขนาดนี้แล้ว

ถึงแม้จะเป็นเพื่อนสนิทของเจ้าบ่าวแต่ก็ตั้งแต่เรียนมัธยม เพื่อนผมมันก็เลยไม่มีอะไรที่จะพูดเกี่ยวกับคู่บ่าวสาวมากนัก
อย่างที่คิด เพื่อนผมไม่ได้พูดอะไรมาก ได้แต่อวยพรสองสามคำแล้วก็เดินลงมาจากเวที

ตอนนี้ผมยืนรออยู่แล้ว กะว่าเพื่อนมาถึงจะเดินออกไปจากงานเลย แต่ก่อนที่เพื่อนผมจะเดินมาถึงไฟบนเวทีก็ปิดลงอีกครั้ง เพื่อนผมพอรู้สึกว่าไฟบนเวทีดับไปมันก็หยุดเดินแล้วก็หันไปดูที่เวที

ตอนนี้บนเวทีเหลือแค่เจ้าบ่าว เจ้าสาวแล้วก็พิธีกร เจ้าบ่าวยืนตัวเกร็งอยู่บนเวที ส่วนเจ้าสาวทำหน้างงๆ ยืนหันรีหันขวางอยู่ ส่วนพิธีกรเริ่มพูดด้วยน้ำเสียงแปลกๆ น้ำเสียงเหมือนกำลังจะเก็บความตื่นเต้นของตัวเองไม่อยู่

“เอาล่ะครับก่อนที่จะจบงานในค่ำคืนนี้ไป เจ้าบ่าวของเรามีความในใจอะไรบางอย่างที่อยากจะบอก เจ้าบ่าวมากระซิบบอกผมก่อนเริ่มงานว่า มันเป็นความในใจที่อยากจะบอกกับเจ้าสาวตั้งนานแล้วแต่ก็ไม่มีโอกาส และนี่ก็เป็นโอกาสอันดีที่เจ้าบ่าวของเราจะได้บอกคำนั้น”

เสียงในโรงพละหายไปหมด บรรยากาศเงียบสงบอย่างประหลาด เจ้าสาวยืนมองเจ้าบ่าวอย่างสงสัย งานนี้คงไม่ได้เตี๊ยมกันมาก่อนล่วงหน้าแน่ๆ ส่วนเจ้าบ่าวมองเจ้าสาวยิ้มๆแล้วเดินไปที่มอเตอร์ไซค์

“วันหนึ่งเมื่อหลายปีก่อน วันนั้นผมเพิ่งเริ่มคบหากับสาวน้อยคนหนึ่ง”

“มีอยู่วันหนึ่งสาวน้อยคนนั้นเกิดขอให้ผมสอนขับรถมอเตอร์ไซค์ รถมอเตอร์ไซค์แบบผู้หญิงไม่มีครัช ถึงแม้มันจะขับไม่ยาก แต่สอนให้คนอื่นขับมันไม่ง่ายเลยสำหรับผม”

“ผมบอกเธอว่าให้คนที่ขับแข็งกว่าผมสอนดีกว่ามั้ย แต่เธอก็ยังยืนยันว่าเธอไว้ใจที่จะให้ผมสอน และในที่สุดผมก็ยอมตกลงสอนเธอขับ”

“ผมสอนการเข้าเกียร์ สอนว่าคันเร่งอยู่ไหน เบรคอยู่ไหน แล้วก็ให้เธอลองขับโดยมีผมซ้อนท้าย”

“เธอเป็นคนฉลาด และที่สำคัญเธอกล้าที่จะลองขับ ผมคิดว่าเธอน่าจะขับได้ แต่ผมก็ลืมคิดไปว่าการที่มีคนซ้อนท้ายมันทำให้บังคับรถได้ยากกว่า”

“รถวิ่งไปตามทางเล็กๆเรื่อยๆ แต่พอวิ่งมาถึงทางโค้ง รถคงหนักเกินกว่าที่เธอจะบังคับให้มันเลี้ยวได้ แทนที่รถจะเลี้ยวมันกลับพุ่งเข้าไปหากำแพง ด้วยความตกใจเธอจึงกำคันเร่งเสียแน่นและลืมเหยียบเบรค”

“ถึงแม้รถจะวิ่งมาไม่เร็ว แต่ด้วยความตกใจและความกลัว ผมก็กระโดดลงจากรถมอเตอร์ไซค์ ปล่อยให้เธอขับรถไปชนกับกำแพงคนเดียว”

“รถชนกำแพงไม่แรงนัก เธอไม่บาดเจ็บมากนักและยอมยกโทษให้ผม แต่นั่นเป็นแผลที่อยู่ในใจของผมเสมอมา”

“วันนี้ นอกจากเธอจะให้อภัยผมมาจนถึงวันนี้ และในวันนี้เธอยังให้ความรู้สึกที่ดีที่สุดให้กับผู้ชายที่ทิ้งเธอในวันนั้น เพราะอย่างนั้นในวันนี้ผมถึงอยากจะบอกกับคุณว่า...”

“ผู้ชายคนนี้จะไม่มีทางทิ้งให้คุณต้องพบกับเรื่องราวเลวร้ายโดยลำพังอีก หากเกิดเรื่องเลวร้ายใดกับคุณ ผู้ชายคนนี้จะหาทางช่วยให้ได้อย่างสุดกำลัง และแม้สุดท้ายถ้าผู้ชายคนนี้ไม่สามารถช่วยคุณได้ เค้าก็จะยอมอยู่ร่วมรับชะตากรรมนั้นไปกับคุณ...จนสุดทาง”

เจ้าสาวยืนกุมมือเจ้าบ่าวยิ้มทั้งน้ำตา พิธีกรแอบปาดขอบตาตัวเอง แขกผู้หญิงหลายคนขอบตาแดง ผมยืนอึ้งพร้อมกับสลักภาพงานแต่งงานในวันนี้ลงในความทรงจำ

แล้วคุณล่ะมีงานแต่งงานของใครที่น่าประทับใจบ้าง คุณประทับใจอะไรในงานแต่งงานนั้น

แต่กับงานแต่งงานนี้ ผมประทับใจความรักที่มีอบอวลอยู่ในงานแต่งงานของหนุ่มสาวคู่นี้เหลือเกิน

รถเมล์แพ

มีอยู่วันหนึ่ง อยู่ๆก็คิดขึ้นมาว่า จะดีแค่ไหนนะถ้าการเดินทางไปไหนมาไหนเราไม่ต้องรีบร้อนแข่งกับเวลา

ไม่ใช่การเดินลอยชายชมนกชมไม้แบบนั้น แต่เป็นการนั่งยานพาหนะที่ลอยอยู่เหนือพื้น แล้วพลขับก็คอยใช้ไม้ถ่อแพลอยคันนั้นไปอย่างช้าๆ

แพไม้ลำหนึ่ง มีการติดตั้งที่นั่งอยู่เต็มลำ เกือบ ๒๐ ที่ได้ เสาทั้งสี่ข้างผูกกับลูกโป่งที่สามารถยกให้แพลอยอยู่ได้ในระดับหนึ่ีง ลูกโ่ป่งที่ไม่มีวันแตก และแก๊สไม่มีวันหมด

เพราะยานพาหนะต่างๆลอยอยู่เหนือพื้นดิน จึงไม่ต้องทำพื้นถนนแข็งๆให้สามารถรองน้ำหนักของสิ่งเหล่านั้น ยกตัวอย่างเช่นรถยนต์ รถจักรยานยน เกวียนประมาณนี้

เมื่อเป็นอย่างนั้น พื้นถนนทั้งหมดในเมือง จึงสามารถปลูกหญ้า ทำเป็นสนามหญ้าให้กว้างใหญ่สุดสายตา

แพลูกโป่งลำน้อยลอยอ้อยอิ่งอยู่บนพื้นทะเลทุ่งหญ้าสีเขียวเข้ม...

วันอาทิตย์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ผีเสื้อสีแดงกับพระจันทร์สีเหลือง (ส่วนที่๒-จบ)

“พระจันทร์!?”

วัตถุทรงกลมส่องแสงสีเหลืองนวลลอยอยู่ข้างหลังของเจ้าปีกทับทิม เจ้าปีกทับทิมตื่นเต้นดีใจอย่างบอกไม่ถูก มันบินขึ้นมาถึงดวงจันทร์แล้ว

ที่จริงผีเสื้อกลางวันอย่างเจ้าปีกทับทิมไม่รู้จักพระจันทร์หรอก เพราะเมื่อถึงตอนกลางคืนพวกมันก็จะบินไปหาที่ๆปลอดภัยเกาะ สายตาของพวกมันมองไม่เห็นในเวลากลางคืน

แต่เจ้าปีกทับทิมก็รู้ว่าบนโลกนี้มีของที่ชื่อว่าพระจันทร์อยู่ด้วยเป็นเพราะเช้าตรู่วันหนึ่งมันมีโอกาสได้คุยกับผีเสื้อกลางคืนตัวหนึ่ง มันเล่าให้ฟังว่าตอนกลางคืนจะมีพระจันทร์ พระจันทร์เป็นลูกกลมๆส่องแสงสีเหลืองนวล ลอยอยู่สูงขึ้นไปบนท้องฟ้า

“พระจันทร์เป็นสิ่งที่สวยงามเท่าสุดเท่าที่ฉันเคยเห็นมา”

เจ้าปีกทับทิมรู้จักพระจันทร์และรู้สึกไม่ชอบพระจันทร์ในเวลาเดียวกัน มันรู้สึกโกรธและอิจฉาพระจันทร์ขึ้นมาทันที ในเมื่ออยู่ต่อหน้ามันซึ่งเป็นผีเสื้อที่มีปีกสีแดงสด ผีเสื้อที่สวยที่สุดในเมืองลูกโป่ง แต่เจ้าผีเสื้อกลางคืนยังกลับชื่นชมพระจันทร์โดยไม่เห็นมันอยู่ในสายตา

“คิดว่าจะอยู่สูงสักแค่ไหน ที่แท้ก็เท่านี้เอง อยู่แค่ตรงนี้ฉันจะบินขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ได้เหมือนกัน”

ทั้งๆที่คิดอย่างนั้นแต่มันก็รู้สึกตัวว่ามันต้องใช้แรงมากเหลือเกินกว่าที่ตัวเองจะบินขึ้นมาได้ถึงขนาดนี้

แต่อย่างน้อยตอนนี้มันก็บินขึ้นมาถึงแล้ว บินขึ้นมาสูงจนเท่าพระจันทร์ อยู่ที่เดียวกับพระจันทร์ แสดงว่ามันอยู่ในที่ๆใครก็สามารถมองเห็นมันได้เหมือนกับที่มองเห็นพระจันทร์

“มาเทียบกันดูซิว่าใครจะสวยกว่ากัน”

เจ้าผีเสื้อคิด มันพยายามแข่งความสวยของตัวมันกับพระจันทร์โดยมีตัวมันเองเป็นกรรมการ

ผีเสื้ออย่างชั้นมองเห็นได้ในเวลากลางวัน แต่พระจันท์มองเห็นได้เฉพาะตอนกลางคืนเท่านั้น แต่ตอนกลางคืนสิ่งมีชีวิตส่วนใหญ่ก็หลับกันหมดแล้ว ดังนั้นผีเสื้อจึงสามารถอวดความสวยงามให้กับสิ่งมีชีวิตอื่นๆได้ชื่นชมได้มากกว่า สรุปข้อนี้ชั้นชนะ

“ข้อต่อไป บุคลิก”

ปกติผีเสื้อมักจะบินอย่างนุ่มนวลอยู่แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวของชั้นยิ่งบินได้อย่างภูมิฐานตลอดมา เพราะชั้นต้องดูแลบุคลิกอันสูงสง่าของชั้นตลอดเวลา... ส่วนพระจันทร์ถึงแม้จะลอยอยู่บนฟ้าเฉยๆแต่ก็...ดูมีเสน่ห์ไม่ธรรมดาเหมือนกัน เอาเป็นว่าข้อนี้เสมอกัน
ข้อต่อไป พระจันทร์สามารถส่องแสงสว่างไสวนุ่มนวลตา ดูมีชีวิตชีวาเหลือเกิน แล้วผีเสื้ออย่างชั้นล่ะนี่ชั้นเป็นผีเสื้อนะไม่ใช่หิ่งห้อยที่จะส่องแสงได้...

แต่เอ๊ะไม่ใช่สิ ถึงแม้พระจันทร์จะดูมีชีวิตชีวา แต่มันก็ไม่ได้มีชีวิตจริงๆ ชั้นเสียอีกที่มีชีวิตสามารถบินไปไหนมาไหนได้ การบินของชั้นดูมีชีวิตชีวามากกว่าเสียอีก ว่าแล้วมันก็เริ่มบินวนไปรอบๆพระจันทร์สีเหลือดวงนั้น เหมือนกับจะให้พระจันทร์เห็นว่ามันบินได้อย่างมีชีวิตชีวาแค่ไหน

มันบินวนรอบพระจันทร์รอบแล้วรอบเล่าอย่างลืมเหนื่อย มันรู้สึกว่ามันกำลังเป็นผู้ชนะ ถึงแม้ว่าวันจะยังไม่ชนะเสียทีเดียวแต่ตอนนี้คะแนนของมันนำอยู่

เจ้าปีกทับทิมยังบินวนรอบพระจันทร์ แต่แล้วอยู่ๆมันก็หยุดบิน มันเพียงกระพือปีกประคองตัวเองให้ลอยอยู่อย่างนั้น ในใจรู้สึกเวิ้งว้างหนาวเยือกอย่างบอกไม่ถูก มีบางอย่างที่มันนึกขึ้นมาได้

ข้อสุดท้ายในการตัดสินที่ที่จริงมันก็ไม่อยากคิด แต่ใจของมันคิด ใจของมันร่ำร้องและตัดสินผู้แพ้ชนะอย่างรวดเร็วโดยที่มันห้ามไม่ได้ ข้อสุดท้ายเรื่องของสี

ถึงแม้ว่าจะเป็นสีโทนร้อนด้วยกันทั้งคู่ แต่กับผู้ที่พบเห็นสีแดงมักจะดึงดูดสายตามากกว่าสีเหลือง ถ้าไม่นับว่าสีเหลืองนั้นส่องแสงสว่างไสวในยามค่ำคืน เพราะสีแดงทับทิมของมันก็เจิดจ้าที่สุดในยามกลางวันเช่นกันเพียงแต่...

เพียงแต่ตอนที่มันบินวนรอบพระจันทร์นั้น มันรู้สึกว่าสีเหลืองนวลของพระจันทร์นั้นช่างไร้ที่ติ มันเป็นพระจันทร์ที่มีสีเหลืองปลอดทั้งดวง ต่างจากมันที่แม้จะมีปีกสีแดงสดคู่ใหญ่ แต่ในปีกนั้นกลับมีจุดสีดำสกปรกแต้มอยู่

จุดสองจุดที่เป็นตัวทำลายความภาคภูมิใจทั้งชีวิตของเจ้าผีเสื้อ มันพยายามที่จะไม่นึกถึง แม้แต่เมื่อกี้มันก็พยายามคิดข้ามข้อนี้ไป แต่ตอนที่มันบินวนรอบพระจันทร์มันก็อดเหลียวมองหาตำหนิของพระจันทร์ไม่ได้ ที่จริงมันมองเพื่อความสบายใจของตัวเอง พระจันทร์มีขนาดใหญ่กว่ามันต้องหลายสิบเท่าย่อมน่าจะมีตำหนิมากกว่า แต่ผิดคาดมันบินวนอยู่หลายรอบแต่ก็ไม่เห็นร่องรอยด่างดวงใดอยู่บนพระจันทร์ นอกจากท่อเล็กๆที่ติดอยู่ด้านล่างของพระจันทร์ซึ่งนั่นก็เป็นเพียงแค่อวัยวะส่วนหนึ่ง เหมือนกับที่มันมีลำตัวมีหัวยื่นออกมา ซึ่งไม่นับว่าเป็นตำหนิของความสวยงาม ถ้านับมันก็มีมากกว่าพระจันทร์เสียอีก

ไม่มีข้ออ้างอะไรอีก เพียงเรื่องเดียวเท่านั้นที่มันไม่อยากจะแพ้ แต่มันก็แพ้ เจ้าปีกทับทิมกระพือปีกช้าๆประคองตัวเองอยู่อย่างนั้นมาตั้งแต่เมื่อครู่แล้ว ดูมันช่างสงบนิ่งต่างจากภายในหัวใจของมัน ที่ความรู้สึกอันยากจะบรรยายต่างถาโถมกระหน่ำหัวใจของมัน....
ผ่านไปเนิ่นนานเจ้าผีเสื้อเริ่มเคลื่อนไหว มันกระพือปีกอันอ่อนล้าของมันแรงที่สุดเท่าที่มันจะทำได้ มันบินพุ่งเข้าไปหาพระจันทร์ดวงนั้นอย่างแรง เจ้าปีกทับทิมบินเข้าชนกับพระจันทร์ครั้งแล้วครั้งเล่าโดยไม่สนใจต่อความเจ็บปวด เพราะตอนนี้หัวใจของมันเจ็บปวดยิ่งกว่า
เจ้าผีเสื้อบินเอาปีกสีแดงคู่งามของมันถูไปกับผิวของพระจันทร์ ครั้งแล้วครั้งเล่า ในใจของมันรู้สึกเคียดแค้นอย่างบอกไม่ถูก มันคิดเพียงแต่ว่าในเมื่อพระจันทร์สีเหลืองนี้ไร้ตำหนิ มันก็จะสร้างตำหนิให้กับพระจันทร์เอง

ทุกครั้งที่บินชนพระจันทร์ เกล็ดเล็กละเอียดสีแดงบนปีกของเจ้าผีเสื้อก็จะหลุดติดออกติดไปกับพระจันทร์นั้น พระจันทร์สีเหลืองเริ่มมีสีแดงปรากฏขึ้นเป็นหย่อมๆบนพื้นผิว แต่ก็ดูเบาบางจนแทบจะมองไม่เห็น

ผิดกับปีกของเจ้าผีเสื้อ ที่เกล็ดสีบนปีกของมันเริ่มน้อยลงๆ สีแดงสดบนปีกของมันค่อยๆจางลงกลายเป็นสีชมพู แม้แต่จุดสีดำสองจุดก็เริ่มกลายเป็นสีเทาและค่อยๆเลือนหายไป จนสุดท้ายปีกของเจ้าปีกทับทิมก็ไม่มีสีแดงและสีดำอีกต่อไป

ผีเสื้อกลางวันปีกสีขาวตัวหนึ่ง กางปีกปล่อยตัวเองให้ล่องไปกับลมค่อยๆร่วงหล่นลงสู่พื้น ร่างกายของมันบอบช้ำและไม่หลงเหลือเรี่ยวแรงอีกต่อไป มันทั้งเหนื่อยทั้งเจ็บปวดและอ่อนล้า แต่ในใจมันกลับสงบนิ่งอย่างประหลาด

เจ้าผีเสื้อไม่มีจุดสีดำสกปรกติดอยู่บนปีกอีกต่อไป มันไม่ต้องอับอายไม่ต้องคอยปกปิดจุดสีดำนั้นอีก ไม่ต้องกลัวใครจะเห็นปมด้อยของมัน

เจ้าผีเสื้อไม่มีปีกสีแดงสีทับทิมที่สวยงามน่าภาคภูมิใจคู่นั้นอีก มันไม่มีศักดิ์ศรีใดที่ต้องปกป้องอีก ไม่รู้ว่าใครหยิบยื่นศักดิ์ศรีนั้นมาให้กับมัน มันไม่รู้ว่ามันควรปกป้องศักดิ์ศรีนั้นหรือไม่ ไม่รู้ว่าต้องปกป้องเพื่อใครเพื่อตัวของมันเองจริงหรือ คำถามที่ไม่อาจตอบและตอนนี้มันก็ไม่คิดที่จะหาคำตอบ มันเพียงรู้สึกว่าเวลานี้มันช่างสบายเหลือเกิน ช่างมีความสุขเหลือเกิน เวลาที่ผ่านมามันช่างเหนื่อยกับสิ่งที่ทำไป แต่ตอนนี้มันกลับรู้สึกดีใจว่าในที่สุดมันก็ได้พบความสุขที่แท้จริงในเวลาสุดท้ายของชีวิต

“สุสานผีเสื้อปีกขาวเป็นปรากฏการณ์ประหลาดที่มีแต่ในเมืองลูกโป่งเท่านั้น และมีอยู่ที่สวนสาธารณะกลางเพียงแห่งเดียวเท่านั้น ที่ม้านั่งสีขาวที่ลูกโป่งแก๊สเรืองแสงสีเหลืองลูกทางขวา มักจะมีผีเสื้อบินมาฆ่าตัวตาย ด้วยการใช้ปีกของมันป้ายเกร็ดสีบนปีกของตัวเองกับลูกโป่งจนเหลือแต่ปีกเปล่าๆไร้สี แต่กว่ามันจะป้ายเกร็ดจนหมดมันก็ต้องเจ็บปวดและเหนื่อยล้าจนตาย เป็นเหมือนกับเป็นการชำระจิตใจก่อนการกลับสู่สวรรค์ของเหล่าผีเสื้อ”

ผีเสื้อสีแดงกับพระจันทร์สีเหลือง (ส่วนที่๑)

“ที่นี่คือเมืองลูกโป่ง เรามีวิทยาการที่ไม่เหมือนใครคือ วิทยาการลูกโป่งที่บรรจุแก็สที่เบากว่าอากาศ ไม่ไวไฟและไม่เป็นพิษ เราเรียกแก๊สชนิดนี้ว่าแก๊สมู เราใช้ลูกโป่งเราใช้วิทยาการลูกโป่งนี้ในเกือบทุกสิ่งทุกอย่าง ทั้งบ้านเรือนตึกสูง ยานพาหนะรวมทั้งเก้าอี้สาธารณะ ทุกอย่างเราแขวนไว้กับลูกโป่ง”

ผีเสื้อตัวใหญ่ปีกสีแดงสดบินผ่านหน้าร้านขายโทรทัศน์ที่กำลังนำเสนอสารคดีเมืองลูกโป่ง มันไม่สนใจที่จะมองเข้าไปในร้าน ไม่สนใจจะมองภาพทิวทัศน์เมืองลูกโป่งภายในโทรทัศน์ ไม่สนใจที่จะฟังเสียง ไม่สนใจอะไรทั้งนั้น มันสนใจแต่สวนสาธารณะใหญ่ที่อยู่กลางเมืองเท่านั้น

ปีกทับทิมเป็นชื่อของผีเสื้อปีกสีแดงสดตัวนั้น ผีเสื้อกลางวันตัวค่อนข้างใหญ่มีปีกคู่หนึ่งสีแดงใสเงางามเหมือนกับสีของทับทิม ที่ปลายปีกคู่หลังทั้งสองข้างมีจุดสีดำขนาดไม่ใหญ่ไม่เล็กอยู่ข้างล่ะจุด

เจ้าปีกทับทิมเกิดในสวนสาธารณะเล็กๆแห่งหนึ่ง ที่นั่นมีเหล่าผีเสื้อและแมลงอยู่จำนวนหนึ่ง เหล่าผีเสื้อและแมลงที่นั่นมีทั้งชื่นชมมีทั้งอิจฉาปีกอันสวยงามของเจ้าปีกทับทิม มันเป็นผีเสื้อตัวเดียวในเมืองที่มีปีกสีแดงสดขนาดนี้ ไม่ใช่แค่ในสวนสาธารณะบ้านเกิดของมันเท่านั้น แต่เจ้าหัวเขียวแมลงปอจอมพเนจรที่ท่องเที่ยวไปมาแล้วทั่วเมืองลูกโป่งก็บอกกับมันเองว่า มันไม่เคยเห็นผีเสื้อหรือแมลงตัวใดในเมืองนี้ที่มีปีกสีสวยแบบเจ้าปีกทับทิมมาก่อน

เจ้าปีกทับทิมจึงภูมิใจในตัวเองมาก มันชอบที่จะได้รับฟังคำชมถึงความสวยงามของมัน และยังชอบฟังคำซุบซิบนินทามัน ถึงแม้คำเหล่านั้นจะเป็นคำที่ไม่ดีแต่เพราะผู้พูดยอมรับในความสวยงามของมันจึงเกิดความอิจฉามัน มันถือว่าคำเหล่านี้ก็เป็นคำชมของมัน

“เป็นปีกสีแดงที่สวยอะไรอย่างนี้”

“ทำไมฉันถึงไม่มีปีกที่แดงสวยแบบนั้นบ้างนะ”

“เชอะ! แค่มีปีกสีแดงก็คิดว่าตัวเองสวยกว่าคนอื่น”

“มีแค่ผีเสื้อพิการเท่านั้นล่ะที่มีปีกสีแดง”

คำพูดทำนองนี้ไม่ว่าจะดีหรือไม่ดีก็ตามก็เป็นสิ่งที่เจ้าปีกทับทิมอยากฟังทั้งนั้น แต่ยกเว้นเพียงเรื่องเดียว เรื่องเดียวที่เจ้าปีกทับทิมรู้สึกเป็นปมด้อยของมัน มันไม่ชอบจุดสีดำบนปีกของมัน มันรู้สึกสกปรกรู้สึกรังเกียจและไม่อยากให้ใครพูดถึงมัน เจ้าผีเสื้อจะรู้สึกหงุดหงิดทุกครั้งที่มีใครพูดถึงจุดสีดำบนปีกของมัน หรือแม้แต่เรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับมันแต่มีคำเกี่ยวกับจุดสีดำมันก็รู้สึกว่ามันกำลังโดนดูถูก

“ปีกไปเปื้อนอะไรมาหรือสาวน้อยเป็นจุดดำใหญ่เชียว”

“เป็นผีเสื้อหรือเป็นหมาดัลเมเชี่ยนกันถึงได้มีจุดด้วย”

“เธอต้นไม้ต้นนั้นมีแต่ใบเป็นจุดดำๆ มันเป็นโรคหรือเปล่า แล้วถ้าเรากินน้ำหวานของมันเราจะเป็นอะไรหรือเปล่า”

“รู้กันหรือเปล่าว่าบนดวงอาทิตย์นั่นมีจุดสีดำอยู่เต็มไปหมด เขาเรียกว่าจุดดับ”

คำประมาณนี้ไม่ว่าจะพูดถึงใคร ไม่ว่าใครจะเป็นคนพูดมันก็ทำให้ปีกทับทิมรู้สึกโกรธทั้งนั้น เพียงแต่ว่าปีกทับทิมยังคงรู้สึกว่าต้องรักษากริยาอันชวนมองสูงสง่าและสวยงามของตนเอาไว้เสมอ มันจึงไม่เคยแสดงอารมณ์โกรธเคืองหงุดหงิดกระฟัดกระเฟียดออกมาให้ใครได้เห็น และถึงแม้จะมีใครรู้ว่าเจ้าปีกผีเสื้อไม่ชอบให้ใครพูดถึงจุดดำบนปีกของตัวเอง แต่ก็ไม่รู้ว่าคำเหล่านี้เหมือนเป็นคำที่ทิ่มแทงใจของเจ้าปีกทับทิมอย่างรุนแรง ดังนั้นถึงจะมีใครเคยพูดแต่ก็แค่ครั้งหรือสองครั้งแล้วก็ไม่พูดอีก ไม่เช่นนั้นถ้ามีใครรู้แล้วพูดกระแนะกระแหนมันตลอดเวลามันอาจจะอยู่ที่นี่ต่อไปไม่ได้ก็ได้

วงจรชีวิตของผีเสื้อตั้งแต่เกิดเป็นจนกระทั่งตายนั้นมีอายุประมาณ 1 เดือน ตั้งแต่เป็นไข่ฟักออกมาเป็นตัวหนอน เจ้าตัวหนอนจะกินๆๆใบไม้เมื่อโตขึ้นก็ลอกคราบสักสี่ห้าครั้งแล้วก็ห่อตัวเองเป็นดักแด้ จากตัวหนอนกลมๆมีขา 6 คู่เมื่อเข้าไปอยู่ในดักแด้ขาหลังของมันก็จะหายสามคู่ ร่างกายแบ่งเป็นสามช่วงใหญ่ๆคือส่วนหัวหน้าอกและลำตัว และที่สำคัญช่วงเวลาที่มันอยู่ในดักแด้มันจะค่อยๆสร้างปีกของตัวเองขึ้นมาทีล่ะนิดๆ ถึงช่วงชีวิตของผีเสื้อจะยาวนานถึงเดือน แต่ช่วงชีวิตที่มันสามารถบินได้อย่างเป็นอิสระในอากาศนั้นอาจมีเพียง 1-2 สัปดาห์ หรืออาจเพียง 2-3 วันเท่านั้นในบางพันธุ์

ถึงแม้ว่ามันจะดูเป็นเวลาที่แสนสั้นนัก แต่กับผีเสื้อหรือแมลงเล็กๆแล้วมันอาจจะเป็นเวลาที่ยาวนานก็ได้ ไม่แน่ว่าเวลาหนึ่งวันของใครบางคนอาจยาวนานเป็นเดือนทีเดียวสำหรับผีเสื้อ

เจ้าทับทิมไม่เคยสนใจช่วงชีวิตของผีเสื้ออะไรนั่น มันเพียงสนใจคำชื่นชมความสวยงามของมันเท่านั้น มันจำได้ว่าตั้งแต่วันแรกที่มีออกมาจากดักแด้ มันก็ได้ยินคำเหล่านี้แล้ว มันเป็นเหมือนอาหารสำหรับชีวิตเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้ชีวิตของมันดำรงอยู่ได้

มันจำได้ว่าวันแรกที่มันออกมาจากดักแด้ มันค่อยๆใช้ขาดับเปลือกดักแด้ออกแล้วก็มายืนเกาะพักที่กิ่งไม้ใกล้ๆ ตอนนั้นถึงแม้ปีกของมันจะยังไม่แข็งแรงพอที่จะบินหรือแม้แต่จะสยายกางออกได้อย่างเต็มที่ แต่สีสันของปีกคู่นั้นก็แดงเฉิดฉายตั้งแต่แรกอยู่แล้ว เหล่าแมลงผีเสื้อที่บินผ่านไปมาเมื่อได้เห็นปีกคู่นั้นก็พากันหยุดชื่นชม แต่ละตัวต่างกล่าวถึงความสวยงามของปีกคู่นั้นไปต่างๆนานา ถึงขนาดมีบางตัวบอกว่า

“ราชินีแห่งผีเสื้อได้กำเนิดขึ้นมาแล้ว”

เจ้าปีกทับทิมได้ยินทุกคำ ระยะเวลาที่ผีเสื้อจะรอให้ปีกแข็งแข็งแรงพอที่จะบินได้นั้นประมาณ 1 ชั่วโมง ใน 1 ชั่วโมงนั้นเหล่าผีเสื้อและแมลงทั้งหลายต่างก็มารุมล้อมดูเจ้าผีเสื้อกันจนเกือบหมดทั้งสวนสาธารณะเล็กๆแห่งนั้น หรืออาจจะเป็นเพราะเหตุนี้จึงทำให้เจ้าปีกทับทิมมีความมั่นใจในความสวยงามของตัวเองนัก

สวนสาธารณะที่เจ้าปีกทับทิมอาศัยอยู่จัดว่าเป็นสวนสาธารณะขนาดเล็กมาก ภายในสวนถูกจัดขึ้นโดยเน้นความร่มรื่น ไม่มีการนำวัสดุแปลกปลอมใดๆที่ไม่ใช่สิ่งของตามธรรมชาติเข้าไปใส่ไว้ในสวน ไม่มีร้านขายของ ไม่มีโต๊ะ ไม่มีม้านั่ง ทางเดินเป็นผืนหญ้า โต๊ะที่นั่งก็เป็นผืนหญ้า อาหารว่างก็คือเหล่าผลไม้สดที่สุกฉ่ำอยู่บนต้น ผู้คนที่อาศัยในเมืองรวมถึงเหล่าผีเสื้อแมลงและสิ่งมีชีวิตอื่นๆต่างพอใจกับสภาพแวดล้อมที่เป็นอยู่ตอนนี้ แต่ในจำนวนนั้นไม่ได้นับรวมเจ้าปีกทับทิมเข้าไปด้วย

นอกจากน้ำหวานจากต้นไม้ที่ใช้ในการดำรงชีวิตแล้ว เจ้าปีกทับทิมก็ต้องการเพียงแต่คำชื่นชมเท่านั้น มันไม่สนใจกับสภาพแวดล้อมใดๆ เหมือนกับว่าชีวิตของมันดำรงอยู่ได้ด้วยปัจจัยเพียงสองอย่างเท่านั้น และถ้าขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไปก็อาจจะทำให้มันอยู่ไม่ได้
ถึงแม้ว่าจะเป็นเรื่องน่าตื่นเต้นที่มีผีเสื้อปีกสีแดงกำเนิดขึ้น แต่มันก็เป็นเพียงปรากฏการณ์เล็กๆอย่างหนึ่งเท่านั้น เหล่าผีเสื้อและแมลงอาจจะมีความตื่นเต้นอยู่บ้างในช่วงแรก แต่ไม่นานมันก็เริ่มชินกับภาพผีเสื้อปีกสีแดงบินไปมาในสวนสาธารณะ

คำชื่นชมเจ้าปีกทับทิมเริ่มหายไปทีละน้อยตามกาลเวลา ตรงข้ามกับคำกระแนะกระแหนจากความหมั่นไส้เจ้าปีกทับทิมกลับมากขึ้นๆ จนสุดท้ายปัจจัยในการดำรงชีวิต 1 ใน 2 อย่างก็หมดไป มันไม่สามารถอยู่ที่นี่ได้อีกต่อไปแล้ว

“ยังมีคนอื่นหรอก ที่รู้คุณค่าความสวยงามของชั้น”

เจ้าผีเสื้อบินออกจากสวนสาธารณะในตอนบ่าย มันบินไปเรื่อยๆเลาะไปตามบ้านเรือนร้านค้า

ที่เมืองแห่งนี้นอกจากลูกโป่งแล้ว สิ่งที่มีความเป็นพิเศษอีกอย่างหนึ่งก็คือ “ไม้” ที่ใช้ในการสร้างบ้านเรือนและอาคารต่างๆ

“มูวู๊ด”เป็นไม้มีชีวิต ไม้แบบอื่นเมื่อตัดออกจากต้นนำมาแปรรูปเป็นไม้ที่ใช้ในการก่อสร้างไม้นั้นจะเป็นไม้ที่ตายแล้ว แต่มูวู๊ดเป็นไม้ที่มีชีวิต ถึงแม้จะผ่านการตัดแต่งแปรรูปต่างๆนานาแต่มันก็ยังคงมีชีวิต มันพร้อมที่จะผลิใบ ออกดอก ออกผลได้เหมือนต้นไม้ทั่วไป เพียงแต่มันจะไม่เติบโตขึ้น และไม่มีการแตกกิ่ง

ไม้มูวู๊ดผ่านกรรมวิธีการเพาะพิเศษที่คิดค้นโดยด็อกเตอร์มู ไม้มูวู๊ดมีคุณสมบัติพิเศษคือการรักษาแผล เหมือนกับต้นไม้ทั่วไปที่เป็นแผลมันจะสร้างเนื้อเยื่อขึ้นมาผสานแผลนั้น ให้เนื้อไม้นั้นกลายเป็นเนื้อเดียวกันอีกครั้ง ไม้มูวู๊ดก็เช่นกันเมื่อก่อสร้างเสร็จให้รดน้ำยาพิเศษลงไป มูวู๊ดจะเริ่มมีชีวิตอีกครั้งมันจะเริ่มผสานไม้ให้กลายเป็นเนื้อเดียวกัน หลังจากนั้นก็จะเริ่มผลิใบและออกดอก,ผลตามฤดูกาล ในส่วนที่ไม่ต้องการให้มูวู๊ดเติบโตผลิใบออกดอกก็ให้ทาด้วยสีพิเศษเท่านั้น

เพราะตึกอาคารบ้านเรือนในเมืองลูกโป่งมีความร่มรื่นเช่นนี้ เมืองทั้งเมืองคล้ายกับเป็นสวนป่า ดังนั้นการที่จะมีนกหรือแมลง บินไปมาก็ไม่ใช่เรื่องแปลก หรือหากจะมีผีเสื้อแปลกๆสีแดงบินผ่าน ก็คงไม่เป็นจุดสนใจมากนัก

เจ้าปีกทับทิมบินผ่านบ้านเรือน อาคารร้านค้า ผ่านร้านตัดผม ผ่านธนาคาร ร้านขายโทรทัศน์ และนั่นที่เห็นอยู่ไกลๆนั่นคือสวนสาธารณะกลางเมืองบ้านใหม่ของมัน

ทางที่มันบินมาเป็นทางด้านหลังของสวนสาธารณะ มันบินข้ามพุ่มไม้สูงที่ถูกตัดแต่ให้เป็นกำแพงของสวนสาธารณะ หลังกำแพงพุ่มไม้คือสวนสาธารณะที่เต็มไปด้วยทุ่งดอกไม้ มีม้านั่งลอยอยู่เป็นระยะๆ มีร้านค้า มีสระน้ำเล็กใหญ่กระจายกันไป มันเป็นสวนสาธารณะที่น่ารื่นรมย์อะไรอย่างนี้

แต่สิ่งเหล่านั้นไม่ได้อยู่ในสายตาของเจ้าปีกทับทิม สิ่งที่มันมองหาคือฝูงผีเสื้อหรือแมลงอะไรก็ได้ที่รวมตัวอยู่กันเป็นฝูง เพื่อที่มันจะได้บินเข้าไปโชว์ตัว มันอยากให้การปรากฏตัวครั้งแรกของมัน ต้องเป็นที่พบเห็นของเหล่าแมลงจำนวนมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่มันมองหาเท่าไหร่ๆก็ไม่เจอสักที

ที่จริงไม่ใช่ว่าไม่มีผีเสื้อหรือว่าแมลงอาศัยอยู่ในสวนสาธารณะแห่งนี้เลย เพียงแต่สวนสาธารณะมีขนาดกว้างใหญ่เกินไป ใหญ่กว่าสวนสาธารณะเดิมของเจ้าปีกทับทิมหลายเท่าทีเดียว เพราะอย่างนั้นจึงทำให้เหล่าแมลงกระจายกันหากินได้อย่างเต็มที่ ไม่ต้องเบียดเสียดกระจุกตัวหากินเหมือนอย่างสวนสาธารณะเล็กๆของมัน

เจ้าผีเสื้อยังคงบินไปเรื่อยๆ ตาก็มองหาฝูงแมลง จนในที่สุดมันก็บินมาถึงใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง ข้างๆต้นไม่มีม้านั่งสีขาวลอยอยู่ตัวหนึ่ง ที่ม้านั่งไม่มีใครนั่งอยู่

นวัตกรรมที่ทำให้การใช้ลูกโป่งในเมืองนี้มีความสมบูรณ์ก็คือ “เครื่องรักษาสมดุลของลูกโป่ง” หรือ “บอลลูนบาล๊านส์เซอร์” หรือเรียกสั้นๆว่า “บีบี”

เพราะก๊าสมูสามารถสังเคราะห์ได้จากอากาศทั่วไปๆ จึงทำให้สามารถผลิตก๊าสมูได้ทุกที่ทุกเวลา บีบี หรือบอลลูนบาล๊านส์เซอร์ คือเครื่องที่ใช้สังเคราะห์ก๊าสมูนั่นเอง

ลูกโป่งก๊าสมูก็เป็นเพียงลูกโป่งธรรมดาที่มีผิวลูกโป่งหนาพิเศษ ทนทานต่ออากาศ ไฟและสารเคมีเป็นพิเศษ แต่เรื่องของการกักเก็บแก๊สก็ยังคงเป็นเหมือนลูกโป่งทั่วๆไป ที่แก๊สมีโอกาสที่จะซึมหายไปได้ ซึ่งนั่นจะทำให้ความดันแก๊สลดลง อาจทำให้ของที่แขวนอยู่กับบอลลูนตกลงมาสู่พื้นได้ ถ้าเป็นอุปกรณ์เครื่องเรือนเล็กๆอย่างโคมไฟ โต๊ะ ตู้ หรือม้านั่งก็อาจจะไม่มีปัญหาเท่าไหร่ แต่ที่เมืองบอลลูนแห่งนี้แม้แต่ถึงรามบ้านช่องก็ถูกแขวนไว้กับลูกโป่งทั้งสิ้น

บอลลูนบาล๊านส์เซอร์เป็นเครื่องควบคุมความดันแก๊สมูอัตโนมัติ บีบีแต่ละตัวจะถูกกำหนดไว้ใช้กับสิ่งของต่างๆกันไป มันจะถูกตั้งโปรแกรมให้สร้างแก๊สมูให้เหมาะสมกับลูกโป่ง เหมาะกับน้ำหนักของสิ่งที่จะแขวน ถูกตั้งให้รักษาระดับความสูงของการลอยของลูกโป่ง บีบีจะคอยสังเคราะห์แก๊สมูส่งไปตามท่ออัดเข้าไปในลูกโป่ง จึงทำให้ลูกโป่งในเมืองนี้ยังคงลอยอยู่ได้ตลอดเวลา

ม้านั่งสีขาวแขวนไว้กับลูกโป่งสองใบ โดยลูกโป่งจะผูกโยงกับเท้าแขนทั้งสองข้าง ส่วนข้างใต้ของเก้าอี้จะมีโซ่ผูกอยู่ตรงกึ่งกลางล่ามไว้กับพื้นเพื่อกันไม่ให้เก้าอี้ลอยหายไปหากเกิดลมพัดแรงๆ

การติดตั้งลูกโป่งให้กับม้านั่งนั้นจำเป็นที่จะต้องมีอย่างน้อยสองลูก เพราะหากเกิดมีใครมานั่งม้านั่งข้างใดข้างหนึ่งเก้าอี้จะได้ไม่เอนล้ม เพราะเมื่อเกิดการเสียสมดุลของม้านั่งเพียงเล็กน้อย บีบี หรือเครื่องรักษาสมดุลก็จะเร่งผลิตแก๊สมูฉีดเข้าไปในลูกโป่งข้างที่รับแรงทันที และเมื่อกลับสู่ภาวะปกติ บีบี ก็จะระบายแก๊สออกจากลูกโป่งอัตโนมัติ

แต่เรื่องเหล่านี้เจ้าปีกทับทิมไม่เคยรู้และไม่มีความคิดอยากที่จะรู้ด้วย มันรู้เพียงแต่ว่าตอนนี้มันเริ่มเหนื่อย และรู้สึกหิวแล้ว มันจำได้ว่ามันออกจากสวนสาธารณะเดิมตอนพระอาทิตย์อยู่ตรงกลางท้องฟ้าพอดี กว่ามันจะบินมาถึงที่นี่มันก็ไม่เห็นดวงอาทิตย์ลอยอยู่บนฟ้าแล้ว ยังคงมีแค่แสงสีขาวส่องสว่างไปทั่วฟ้าเท่านั้น ซึ่งตลอดเวลาที่มันเดินทางมันไม่ได้กินอะไรอีกเลย และถ้าแสงจากดวงอาทิตย์หายไปเมื่อไหร่มันก็จะต้องนอนหิวทั้งคืน เพราะมันมองไม่เห็นในเวลากลางคืน ดังนั้นตอนนี้มันต้องรีบหาน้ำหวานกินก่อน ส่วนเรื่องการโชว์ตัวเอาไว้ค่อยพรุ่งนี้เช้าก็ได้

เมื่อตัดสินใจได้เจ้าปีกทับทิมก็บินไปยังต้นไม้ใหญ่ มันคิดที่จะบินขึ้นไปกินน้ำเลี้ยงบนต้นไม้

“มีแต่ผีเสื้อตัวผู้เท่านั้นที่หากินน้ำหวานบนพื้น”

มันเริ่มบินสูงขึ้นๆเพื่อหารอยแผลของต้นไม้ที่มีน้ำเลี้ยงไหลออกมา แต่ในขณะที่มันบินอยู่นั้นมันก็คิดอะไรบางอย่างออก

เจ้าผีเสื้อคิดว่าตอนนี้มันบินขึ้นมาสูงแค่ไหนแล้ว ถ้าหากมันบินขึ้นไปบนฟ้าให้สูงๆ ถ้ามันบินอยู่บนฟ้าสูงๆ ไม่ว่าใครอยู่ตรงไหนในสวนสาธารณะก็จะมองเห็นมันได้ ถึงแม้อาจจะเล็กจนไม่รู้ว่าใครเป็นเจ้าของปีกสีแดงสดแสนงามคู่นี้ แต่เมื่อถึงเวลาเช้าแมลงทุกตัวก็จะออกตามหาปีกสีแดงแสนสวยของมัน

ปีกทับทิมคู่นั้นยังคงกระพือไม่ยอมหยุด มันพยายามส่งตัวเองให้บินขึ้นไปสูงที่สุด มันลืมเรื่องอาหารและความเหนื่อยล้าในตอนแรกไปเสียสนิท ทั้งๆที่ตัวมันเองไม่เคยอดอาหารหรือใช้แรงมากขนาดนี้มาก่อน

ถึงใจจะสู้เพียงใด แต่ร่างกายของมันส่งสัญญาณเตือนว่ามันอ่อนแรงเต็มทีแล้ว ถึงมันจะพยายามกัดฟันกระพือปีก แต่ร่างกายก็เหมือนไม่ยอมฟังคำสั่งเอาเสียเลย ปีกทั้งสองข้างของมันกระพือช้าลงๆจนเหมือนกับมันจะหยุดเคลื่อนไหวในไม่ช้า

“เราบินขึ้นมาสูงแค่ไหนแล้วนะ”

แสงอาทิตย์สีขาวหายไปเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ถึงแม้ท้องฟ้าจะไม่ถึงกับมืดสนิทเสียทีเดียว แต่มันก็สลัวเลือนรางเต็มที ตอนนี้เจ้าปีกทับทิมมองไม่เห็นแล้วว่ามันบินขึ้นมาสูงถึงขนาดไหนแล้ว มันได้แต่ถามตัวเองในใจว่ามันบินขึ้นมาสูงแค่ไหนแล้วนะ

ในความรู้สึกของมันบอกว่ามันบินมานานมากแล้ว มันคงบินขึ้นมาสูงมากแล้วแน่ๆ ทั้งๆที่ความจริงปีกที่อ่อนแรงของมันไม่สามารถพามันบินขึ้นไปบนฟ้าให้สูงได้เท่าไรนัก

ทันใดนั้นเจ้าปีกทับทิมก็รู้สึกว่ามีแสงแปลกๆสว่างวาบขึ้นมาที่ด้านหลังของมัน ตาของผีเสื้อกลางวันนั้นจะมีความไวต่อแสงเป็นพิเศษ อย่าว่าแต่เป็นของที่มีแสงสว่างขนาดนี้เลย ถึงเป็นของที่ไม่มีแสงแต่ถ้ามีการเคลื่อนที่แม้แต่น้องเจ้าผีเสื้อก็จะรู้สึกตัวทันที
แต่นี่มันไม่รู้สึกตัวมาก่อนเลยว่าข้างหลังมันมีของที่สามารถส่องแสงได้ลอยอยู่ ถึงแม้มันจะมุ่งมั่นกับการบินเพียงใดแต่ก็ไม่น่าจะถึงกับไม่สังเกตว่ามีวัตถุแบบนี้ลอยอยู่ มันคืออะไรล่ะ มันค่อยๆกันหลังกลับไปมองอย่างระมัดระวัง

“พระจันทร์!?”
Be continue...

วันเสาร์ที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2553

แมงมุมสีขาวกับดาวเคราะห์สีแดง

ลูกแมงมุมตัวเล็กสีขาวใสยืนอยู่บนดาวเคราะห์แปลกๆสีแดง แสงแดงส่องลงมายังดาวเคราะห์สีแดงสดใสสะท้อนสีไปตกลงบนตัวแมงมุมน้อย ทำให้เจ้าแมงมุมสีขาวใสกลายเป็นสีแดงไป

ลูกแมงมุมยืนทอดตามองไปไกลๆ มันเห็นแต่พื้นสีแดงกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา ที่ตรงปลายของสีแดงก็มีขอบฟ้าสีฟ้ารออยู่ทุกทิศทาง มันอาจจะกำลังสงสัยอยู่ในใจว่า

“ที่จริงแล้วดาวเคราะห์สีแดงดวงนี้มันกลมหรือแบนกันนะ”

“ถ้าเดินไปจนสุดขอบของดาวแล้ว มันจะตกจากดาวดวงนี้ไปหรือเปล่านะ”

นั่นอาจจะเป็นสิ่งที่มันสงสัย แต่สิ่งที่มันรู้อยู่แล้วในตอนนี้คือ ดาวทั้งดวงไม่มีใครหรืออะไรอย่างอื่นอยู่เลย นอกจากมัน ไม่มีต้นไม้ ไม่มีหญ้า ไม่มีน้ำ ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดๆ ไม่มีแม้กระทั่งพี่น้องหลายร้อยตัวของมันที่ออกมาจากรังของแม่พร้อมๆกัน

เจ้าแมงมุมจำได้ว่า ตอนที่ออกมาจากรังที่สร้างจากใยของแม่ มันก็ออกมาพร้อมกับพี่พี่น้องน้องอีกหลายพันตัว พอมันออกมาแล้วก็รู้สึกว่ามีลมหอบใหญ่พัดเข้ามา เจ้าแมงมุมรวมทั้งพี่น้องเหล่านั้นถูกลมพัดไกลออกมาจากรังของแม่ มันถูกพัดมาเรื่อยๆพวกพี่น้องทั้งหลายบางตัวก็ตกลงไปข้างล่าง บางตัวก็เกาะกับต้นไม้ไว้ได้ แต่กับมันยังคงลอยไปตามกระแสลมเรื่อยๆ ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่มันลอยมากับลมจนมันหลับไป จนมาตื่นที่ดาวสีแดงดวงนี้ซึ่งมันพอรู้ตัวอีกทีมันก็กลายเป็นลูกแมงมุมตัวสุดท้ายที่ลอยมากับกระแสลม

ปัญหาอย่างแรกของมันคงไม่ใช่การหาเพื่อนแก้เหงา สิ่งมีชีวิตทุกอย่างมีสัญชาติญาณในการหากิน สิ่งมีชีวิตทุกชนิดจะหาของกินได้เองโดยไม่จำเป็นจะต้องให้ใครมาสอน แต่สิ่งจำเป็นจริงๆก็คือต้องมีของกิน แต่กับดาวเคราะห์สีแดงผิวเรียบๆลื่นๆอย่างที่เจ้าแมงมุมน้อยอาศัยอยู่ดวงนี้ ไม่มีทีท่าว่าจะมีของอะไรที่มันพอจะกินได้อยู่เลย

ไม่มีผลไม้ ไม่มีแมลง ของที่มันใช้ประทังชีวิตอยู่ได้ในตอนนี้คือเศษใยแมงมุมของแม่ที่ใช้ทำรังนั่นเอง เศษใยแมงมุมของแม่ผืนใหญ่ติดมากับขาของเจ้าแมงมุมน้อย อาจจะเป็นสิ่งนี้ก็ได้ที่ทำให้มันลอยตามลมมาได้ไกลกว่าพี่น้องตัวอื่น ใยแมงมุมผืนใหญ่กว่าตัวของเจ้าแมงมุมหลายเท่ากางรับลมที่พัดมา มันอาจจะเป็นตัวการร้ายที่ทำให้เจ้าแมงมุมน้อยลอยมาติดอยู่ที่ดาวร้างดวงนี้ แต่ตอนนี้มันกลับเป็นของมีค่าที่สุดของเจ้าแมงมุม เพราะมันเป็นแหล่งอาหารแหล่งเดียวที่มีอยู่ตอนนี้

เจ้าลูกแมงมุมค่อยๆกินใยแมงมุมผืนนั้นอย่างระมัดระวัง มันไม่อยากให้ใยแมงมุมอาหารเพียงอย่างเดียวหมดไปก่อนที่มันจะหาวิธีหาอาหารได้ เจ้าแมงมุมรู้ว่าใยพวกนี้กินได้เพราะมันกินตั้งแต่ตอนที่มันเริ่มฟักออกมาจากไข่แล้ว แต่ถึงจะมีอาหารแล้วก็ตามแต่มันก็ยังต้องหาแหล่งอาหารอื่นเพื่อทดแทนหลังจากที่มันกินใยกลุ่มนี้หมดไป

ถึงจะเป็นแค่ลูกแมงมุมแต่มันก็รู้วิธีการสร้างใยด้วยตัวเองแล้ว มันรู้ว่าถ้าจะสร้างใยไว้ดักแมลงมันจะต้องถักใยเป็นตาข่ายแล้วขึงอยู่กับอะไรก็ได้สองฝั่ง เป็นกิ่งไม้สองกิ่งหรือใบไม้สองใบ แต่บนนี้ไม่มีกิ่งไม้หรือใบไม้ให้มันขึงใยแม้แต่น้อย แต่แล้วมันก็นึกออกว่า ถ้าไม่ขึงกับกิ่งไม้บางทีเราก็ขึงตาข่ายใยแมงมุมลงบนดินได้นี่ แมลงบนดินก็มี “รสชาติก็...น่าจะใช้ได้นะ” คิดถึงตอนนี้ก็เพิ่งนึกได้ว่าตั้งแต่เกิดมามันยังไม่เคยกินแมลงเลยสักตัว

มันจะเคยกินได้อย่างไรก็ในเมื่อบนดาวเคราะห์ดวงนี้ไม่มีแมลงอยู่เลยสักตัว จะมีก็แค่แมงตัวเดียวเท่านั้น คือแมงมุงตัวมันเองตัวเดียวโดดๆ พอคิดได้อย่างนั้นโครงการการสร้างตาข่ายใยแมงมุมก็ต้องปิดตัวลงตั้งแต่ยังไม่ได้ลงมือ แต่ว่า...

“เราเป็นแมงมุมนะ ถ้าไม่ชักใยแล้วเราจะทำอะไรได้”

พอคิดได้อย่างนี้มันก็เริ่มสร้างใยแมงมุมของตัวเองขึ้นมาทีละนิดๆโดยไม่สนใจความคิดอื่นอีก มันถักทอเส้นใยของมันเหล่านั้นเป็นตาข่ายแปดเหลี่ยมตามสัญชาติญาณ น่าเสียดายที่เส้นใยดักแมลงของมันไม่ได้มีสารอาหารเหมือนกับเส้นใยที่ใช้ผลิตรังแบบของแม่ ไม่อย่างนั้นมันคงกินใยของมันเองเป็นอาหารไปแล้ว

เจ้าแมงมุมถักทอใยขึ้นมาทีละกลุ่มๆ เริ่มต้นด้วยการลากใยให้เป็นรูปสามเหลี่ยม จากนั้นก็ค่อยๆโยงใยให้กลายเป็นแปดเหลี่ยม แล้วก็ค่อยๆถักใยวนจากข้างนอกเข้ามาใจกลางของใย ทำให้เป็นตาข่ายเหนียวดักแมลง

การถักทอเส้นใยกลุ่มหนึ่งใช้เวลากับพลังงานไม่ใช่น้อย มันถักทอกลุ่มใยแมงมุมได้แค่ 5 กลุ่มมันก็แทบจะหมดแรงเสียแล้ว การถักทอเส้นใยครั้งนี้ของมันกินเวลาไปถึง 3 วัน แต่ในสามวันที่ผ่านมาไม่มีแมลงเข้ามาติดใยเลยสักตัว ไม่มีแม้แต่จะบินผ่าน

แรงของเจ้าลูกแมงมุมน้อยลงทุกที พอๆกับใยของแม่แมงมุมที่เหลือพอที่จะกินได้อีกแค่วันเดียวเท่านั้น เจ้าแมงมุมยืนมองกลุ่มใยที่อุตส่าห์ถักทอขึ้นมาอย่างหมดหวัง มันสามารถที่จะสร้างอุปกรณ์หากินได้ และมันก็ได้ทำเต็มความสามารถของมันแล้วด้วย แต่ด้วยสภาพแวดล้อมที่ไม่เอื้ออำนวยต่างหากที่ทำให้มันต้องพ่ายแพ้

ขณะที่เจ้าลูกแมงมุมกำลังทอดถอนใจอยู่นั้น อยู่ๆก็มีลมพัดมาหอบใหญ่ ลมพัดครั้งนี้แรงมากจนทำให้มันเกือบปลิวไปตามลม แต่ยังโชคดีที่มันใช้ขาทั้งแปดยึดเกาะได้อยู่ ที่มันเป็นห่วงในเวลานี้คือใยแมงมุมที่มันอุตส่าห์สร้างขึ้นมา กลัวว่ามันจะปลิวไปตามลมด้วย แต่เจ้าใยพวกนี้ก็เหนียวพอที่จะไม่ปลิวไปตามลม เจ้าแมงมุมรู้สึกโล่งใจและลึกๆมันก็ภูมิใจในความแข็งแรงของใยที่มันสร้างขึ้น มันคิดว่าถ้าที่นี่มีแมลงไม่ว่าจะเป็นแมลงตัวใหญ่แรงเยอะแค่ไหน ถ้ามาติดใยของมันไม่มีใครจะดิ้นหลุดไปได้แน่นอน

คิดได้เพียงแค่ก็เห็นของบางอย่างลอยผ่านหน้าไป ก้อนอะไรบางอย่างสีขาวละมุนลอยผ่านไป มันเป็นใยรังแมงมุมอาหารเพียงอย่างเดียวและเป็นแหล่งอาหารแหล่งสุดท้ายของมันกำลังลอยไปตามลม ตั้งแต่มันมาอยู่ที่ดาวสีแดงดวงนี้ได้สองวันไม่เคยมีลมพัดมาเลยสักครั้ง มันมันกินเส้นใยแล้วก็วางไว้ตรงนั้นไม่ได้คิดว่าจะเกิดเหตุแบบนี้ขึ้น มันคิดว่าอย่างน้อยมันน่าจะยังสามารถเก็บไว้กินได้อีกหลายมื้อ และในเวลานั้นมันอาจจะหาวิธีหาอาหารได้แล้ว แต่เมื่อเป็นเช่นนี้ความหวังในการมีชีวิตอยู่ของมันก็ดับวูบลง

เจ้าแมงมุมนอนหงายท้องเหมือนแมงมุมตายแล้ว มันรู้สึกหมดแรงหมดหวังที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป มันยังไม่สามารถหาอาหารเองได้ และแหล่งอาหารแหล่งสุดท้ายของมันก็หายไปแล้ว อนาคตที่มันมองเห็นมีแต่การอดตายเท่านั้น มันเลยทำท่านอนรอความตายทั้งๆที่มันยังไม่ตาย มันคิดว่าถ้าลมพัดมาอีกมันก็จะให้ลมพัดมันไปถึงจะไปตกที่ไหนก็ตามแต่ อาจจะไปตกที่ปลายดาวสีแดงดวงนี้ ตกไปนอกดาวสีแดงดวงนี้ หรืออาจจะตกแค่ใกล้ๆนี้

“ตกแค่ใกล้ๆนี้”

ใยของมันอาจจะตกอยู่ใกล้ๆนี้ก็ได้ใครจะไปรู้ ถึงลมจะพัดมาแรงแต่ก็ไม่นานถ้ามันเดินไปตามทางที่ลมพัดเมื่อกี้มันอาจตามไปเจอก็ได้ ใช่แล้วตั้งแต่มันมาที่ดาวดวงนี้มันยังไม่เคยออกไปไหนเลยนอกจากที่ๆมันอยู่ ไม่แน่ว่าที่อื่นอาจจะมีแมลงก็ได้ พอคิดได้แล้วมันก็รู้สึกคึกคักขึ้นมาอีกครั้งถึงแม้ท้องจะยังหิวอยู่ก็ตาม

เจ้าแมงมุมออกเดินไปทางทิศที่ใยสีขาวลอยผ่านหน้ามันไป มันเดินไปเรื่อยๆรู้สึกว่าพื้นดาวมันลาดลงไปเรื่อยๆ ยิ่งเดินยิ่งลาดลงเรื่อย ขณะที่มันเดินอยู่สายตามันก็คอยมองหาใยสีขาวอาหารของมันกับแมลง แต่เดินมาตั้งนานแล้วก็ยังไม่เจอแม้สักอย่างเดียว ความฮึกเหิมของมันในตอนแรกหายไปกว่าครึ่ง แต่แล้วขามันก็รู้สึกหมดแรงเอาดื้อๆ เจ้าแมงมุมล้มลงตัวมันแนบไปกับพื้นในขณะที่ขาทั้งแปดกางออกไปรอบๆตัว พื้นตรงที่มันยืนอยู่ลาดชันกว่าทุกที่ที่มันเดินผ่านมา ตัวของเจ้าแมงมุมลื่นไถลไปตามพื้นอย่างรวดเร็ว สายตามันมองตรงไปข้างหน้ารู้สึกว่าพื้นสีแดงแหว่งหายไป

“ไม่ใช่แหว่งหายไป” เจ้าแมงมุมคิดมันเป็นขอบมากกว่า มันเป็นขอบของดาวดวงนี้ถ้ามันยังลื่นไถลไปแบบนี้มันต้องตกจากดาวดวงนี้แน่ๆ

คิดได้อย่างนั้นมันก็พยายามยืนขึ้น ใช้ขาทั้งหมดพยายามตะกุยปัดป่ายเพื่อหาทางเกาะพื้นเอาไว้ มีบางครั้งที่ความเร็วในการลื่นไถลลดลงแต่มันก็ไม่ได้หยุดซะลงทีเดียว เพราะขาที่กางออกมากเกินไปในตอนแรกทำให้มันออกแรงได้ไม่เต็มที่ ขามันยาวเกินไปที่จะยันตัวเองขึ้นมาได้ในขณะลื่นไถล

ในขณะที่มันกำลังจะหลุดออกไปนอกพื้นผิวสีแดงนั้น เจ้าแมงมุมก็ออกแรงสร้างใยยึดเกาะออกมา มันเอาใยที่สร้างจากแรงเฮือกสุดท้ายของมันติดลงบนผิวของดาวสีแดงได้ทัน มันไม่รู้ว่าใยที่มันสร้างออกมานี้เรียกว่าใยยึดเกาะ ถ้าเทียบความแข็งแรงแล้วใยชนิดนี้มีความแข็งแรงกว่าเหล็กกล้าเสียอีกถ้ามันมีขนาดเท่ากัน

เจ้าแมงมุมห้อยตัวอยู่กับใยของมัน ด้วยความตกใจและความไม่มั่นใจในใยยึดเกาะที่มันเพิ่งเคยสร้างขึ้นมาเป็นครั้งแรก ทำให้มันไม่กล้าขยับตัว

มันได้แต่ห้อยตัวอยู่อย่างนั้นสำรวจมองไปรอบๆตัว ดาวสีแดงที่มันอาศัยอยู่เป็นรูปทรงกลมสีแดงสดแต่ตาของมันมองเห็นเป็นสีเทาๆเพราะมันตาบอดสี พื้นผิวมันเงาตรงข้างใต้ของดาวที่เห็นอยู่ไกลๆ รู้สึกว่าจะมีเส้นอะไรบางอย่างห้อยออกมา เส้นตรงสีดำเส้นใหญ่โยงอยู่กับกล่องสีเขียวขนาดมหึมาที่มันมองเห็นเป็นกล่องสีเทาเข้ม เป็นกล่องที่ใหญ่กว่าดาวสีแดงที่มันอาศัยอยู่อย่างเทียบกันไม่ได้
ขณะที่เจ้าแมงมุมกำลังเพ่งตามองเส้นตรงสีดำอยู่นั้น อยู่ๆก็รู้สึกว่าได้ยินเสียงบางอย่างที่ดังมาก มันเป็นเสียงดนตรี ที่จริงเสียงมันดังอยู่ก่อนหน้านี้แล้ว เพียงแต่เจ้าแมงมุมไม่ทันได้ฟังต่างหาก นอกจากเสียงดนตรีแล้วก็มีเสียงพูดของมนุษย์ผู้หญิงที่มันฟังไม่เข้าใจ แต่มันก็รู้สึกว่าเป็นเสียงที่ดังมาก

“ยินดีต้อนรับท่านผู้มีเกียรติทุกท่าน วันนี้เป็นวันฉลองครบรอบ 50 ปีของเมืองลูกโป่งแห่งนี้”

“อย่างที่รู้กันว่าเมืองลูกโป่งของเรา กำเนิดมาจากการค้นพบแก๊ส “มู” ซึ่งเป็นแก๊สพิเศษมีน้ำหนักเบากว่าอากาศ ไม่ไวไฟ และไม่เป็นพิษต่อสิ่งมีชีวิต ซึ่งแก๊สมูนี้เป็นการค้นพบโดย ท่านด็อกเตอร์ มู บิดาแห่งเมืองลูกโป่งของเรา นับตั้งแต่นั้นเราก็ใช้วิทยาการต่างๆมาผสมผสานกันจนเกิดเป็นเมืองแห่งนี้ขึ้น”

“จะเห็นได้ว่าสิ่งของเกือบทุกอย่างในเมืองนี้จะมีส่วนประกอบเป็นลูกโป่งแก๊สมู ไม่ว่าจะเป็นม้านั่ง โคมไฟ ยานพาหนะที่เรียกว่า “มูมูฟ” หรือแม้แต่บ้านเรือนของเรา รวมทั้ง “ตึกใต้แดง” หรือ “Under red building” ตึกที่สูงที่สุดของเมืองที่ยังคงตั้งตระหง่านอยู่ได้ด้วยลูกโป่งใบยักษ์สีแดงเพียงลูกเดียว...”

ถ้าเจ้าแมงมุมสามารถเข้าใจภาษาของมนุษย์ได้ มันก็คงได้รู้ว่าดาวเคราะห์สีแดงที่มันอาศัยอยู่มาจนถึงวันนี้นั้นเรียกว่าลูกโป่งแก๊สมู
แต่ถึงเจ้าแมงมุมจะไม่รู้ความหมายของคำพูดของมนุษย์ผู้หญิงเลยแม้แต่คำเดียว แต่ด้วยเสียงนั้นอย่างน้อยมันยังบอกได้ว่าข้างล่างนั่นมีอะไรอยู่ อาจจะเป็นสิ่งมีชีวิต อาจจะเป็นที่อยู่อาศัยของแมลง อย่างน้อยก็น่าจะมีอะไรๆมากกว่าบนลูกโป่งสีแดงนี่

ตอนนี้เจ้าแมงมุมรู้สึกอยากลงไปข้างล่างอย่างบอกไม่ถูก มันกำลังมองว่าถ้าสามารถไต่ไปตามเส้นสีดำใต้ลูกโป่งได้มันก็น่าจะไต่ลงไปถึงข้างล่างได้ แต่มันจะไต่ไปได้อย่างไรล่ะในเมื่อมันลื่นมาก ลื่นจนขาทั้งแปดข้างของมันเกาะไม่อยู่ ลื่นมากจนทำให้มันต้องมาห้อยอยู่อย่างนี้ตอนนี้

“ห้อยอยู่อย่างนี้”

เจ้าแมงมุมเพิ่งนึกได้ว่ามันแขวนตัวเองอยู่กลางอากาศมาพักใหญ่แล้ว แสดงว่าเส้นใยของมันแข็งแรงพอที่จะประคองตัวมันเอาไว้ได้ แต่จะแข็งแรงพอที่จะส่งมันลงไปถึงพื้นข้างล่างได้หรือเปล่านะ

ถึงจะคิดอย่างนั้นเจ้าแมงมุมก็ไม่ลังเลที่จะปล่อยใยเพิ่ม มันค่อยๆหย่อนตัวเองลงไปทีละนิดๆ ไม่รู้ว่ามันไปเอาเรี่ยวแรงมาจากไหน ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้มันทั้งเหนื่อยทั้งหิว แต่พอมีความหวังรออยู่ตรงหน้ามันก็ลืมเรื่องเหล่านั้นไปหมด

เจ้าแมงมุมปล่อยใยอย่างระมัดระวังเพราะยังไม่แน่ใจในใยยึดเกาะของตัวเองมากนัก มันทำให้เจ้าแมงมุมไปได้ไม่ถึงไหน แต่นั่นก็อาจจะเป็นโชคดีของมัน เพราะทันใดนั้นก็มีลมพัดมาอีกหอบหนึ่ง ถึงจะไม่แรงเท่ากับครั้งแรกที่พัดเอาใยรังของมันหายไป แต่ก็แรงพอที่จะพัดให้เจ้าแมงมุมแกว่งไปมาอย่างหวาดเสียวในตอนนี้

ลูกแมงมุมพยายามเกาะเส้นใยของมันเต็มแรง บางทีมันอาจจะรู้ว่าถึงมันตกลงไปข้างล่างมันอาจจะไม่ได้กระแทกพื้นจนตายหรือพิการ หรืออาจจะไม่ได้รับบาดเจ็บเลยแม้แต่น้อย นั่นเป็นกรณีที่มันลงไปที่พื้นดิน แต่ถ้าไม่ใช่พื้นดินล่ะ ถ้าจุดที่มันตกไปเป็นน้ำเป็นบ่อน้ำ อ่างน้ำ หรือแม้แต่แก้วน้ำมันอาจจะจมน้ำตายได้ หรือโชคร้ายกว่านั้นถ้ามันตกลงบนปล่องไฟ บนเตาไฟ บนจานไก่ย่างที่เพิ่งย่างเสร็จ หรือในกรณีที่เลวร้ายที่สุดคือมันตกลงบนก้านไม้ขีดที่เพิ่งจุด เปอร์เซ็นต์การเสียชีวิตแทบจะมีเท่ากับเปอร์เซ็นต์การรอดชีวิตทีเดียว อย่างน้อยถ้ามันจะต้องเสี่ยงมันอยากจะมีวิธีที่จะลดความเสี่ยงให้กับตัวมันแม้จะนิดหน่อยก็ยังดี

ลมหยุดพัดแล้ว แมงมุมน้อยรีบไต่กลับขึ้นไปบนลูกโป่งอย่างไม่รอช้า มันกลัวว่าลมจะพัดมาอีก และอีกอย่างหนึ่งคือมันนึกอะไรขึ้นมาได้วิธีที่จะลงไปสู่พื้นข้างล่าง ถึงจะรู้สึกว่าวิธีที่คิดได้มันเสี่ยงน้อยกว่าการปล่อยตัวเองให้ตกลงไปตามยถากรรม แต่ว่าก็ไม่ใช่ว่าไม่มีความเสี่ยงอยู่เลย มันต้องการเวลาตั้งตัวและเตรียมตัวเล็กน้อย มันตัดสินใจแล้วว่าจะเลือกทางนี้แน่นอนถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีก
แต่เมื่อคิดอย่างนั้นมันมักจะมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นมาเพื่อให้เกิดความสับสน เพิ่งไต่ขึ้นมาถึงบนลูกโป่งสิ่งแรกที่เจ้าแมงมุมเห็นก็คือใยสีขาวนวลก้อนหนึ่ง มันเป็นใยรังแหล่งอาหารเพียงแหล่งเดียวของมันที่โดนลมพัดหายไป มันมาอยู่ตรงนี้ได้อย่างไรกันทำไมตอนที่เจ้าแมงมุมเดินมาถึงจึงไม่เห็นมัน หรืออาจจะเป็นลมที่พัดเมื่อกี้นี้ ใยอาจจะไปติดอยู่ที่ไหนสักที่พอลมพัดอีกครั้งก็พัดใยพวกนี้มา

“พัดมาทำไมกันตอนนี้”

เจ้าแมงมุมกำลังคิดที่จะเสี่ยงชีวิตลงไปข้างล่างเพราะเห็นว่าอยู่บนนี้ต่อไปมันก็ต้องอดตายอยู่ดี แต่พอมันขึ้นมาเตรียมตัวมันก็ได้พบของที่จะยืดอายุมัน ของที่จะประทังชีวิตของมันได้มันอาจจะมีชีวิตอยู่ได้อีก 3-4 วันนานซึ่งในช่วงนั้นมันอาจจะเจอวิธีการลงไปข้างล่างที่ปลอดภัยกว่าเสี่ยงน้อยกว่าที่คิดอยู่ก็ได้ แต่ถ้าถึงเวลานั้นแล้วมันไม่เจอวิธีการลงไปข้างล่างที่ปลอดภัยกว่านี้ก็ได้ ซ้ำร้ายมันยังอาจไม่กล้าที่จะเสี่ยงอีกต่อไปก็ได้ มันกำลังเกิดความคิดขัดแย้งขึ้นภายในใจ มันจะเข้าข้างฝั่งไหนดี

เจ้าแมงมุมนิ่งมองกองใยสีขาวนวลนั้นพักใหญ่ ก่อนที่มันจะค่อยๆก้าวช้าๆเข้าไปหาใยก้อนนั้น ตอนนี้มันหิวมาก มันเริ่มแทะกินใยรังก้อนสุดท้ายอย่างไม่ยั้ง ดูท่าทางเหมือนว่าเจ้าแมงมุมจะเป็นบ้าไปแล้ว

หลังจากกินใยก้อนนั้นจนหมด เจ้าแมงมุมก็นอนหลับไป มันไม่ได้บ้าเพียงแต่มันตัดสินใจเลือกที่จะไม่รออีกต่อไป ดีเสียอีกมันกำลังต้องการอาหารอยู่พอดี มันต้องการแรงและสมาธิอย่างมากเพื่อการเดินทางไปสู่จุดหมายของมัน

เจ้าแมงมุมตื่นขึ้นมาท้องฟ้าก็มืดสนิทแล้ว แมงมุมส่วนใหญ่ออกหากินในเวลากลางคืน แต่ตอนนี้เจ้าแมงมุมขาวไม่ได้จะออกหากิน มันกำลังจะออกเดินทาง เจ้าแมงมุมเดินไปหยุดอยู่ริมลูกโป่งตรงจุดที่มันเคยลื่นไถลตกลงไป แต่คราวนี้มันยืนอยู่ในจุดที่ปลอดภัย
เจ้าแมงมุมขยับขาทั้งแปดไปมา เหมือนจะเป็นการอบอุ่นร่างกายก่อน จากนั้นมันเริ่มสร้างใยออกมา ใยชุดแรกเป็นใยเหนียวที่ใช้ยึดเกาะ มันเอามาพันไว้ที่ขาข้างที่สองและสามของทั้งฝั่งซ้ายและขวาเอาไว้ และพันขาคู่ที่สามกับสี่เอาไว้อีกที โดนขาคู่ที่สี่พันให้เหลือขาปล้องสุดท้ายเอาไว้ เพื่อที่จะใช้เดินและใช้ส่งเส้นใยที่ปล่อยออกมาทางก้นไปให้ขาคู่หน้า

ขาคู่หน้าส่วนที่เหลือใช้จับใยมาพันเข้ากับขาของมันเอง พอใช้ใยยึดเกาะพันขาเสร็จเรียบร้อยแล้ว มันก็พ่นใยเล็กละเอียดออกมาอีกชุดหนึ่งปูลงบนเส้นใยชุดแรงที่พันขาเอาไว้

เจ้าแมงมุมง่วนกับการเตรียมตัวอยู่พักใหญ่ แต่ตอนนี้มันพร้อมแล้ว ไม่รู้ว่าตัวของเจ้าแมงมุมสีขาวกลายเป็นสีดำไปตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่นั่นก็แสดงถึงว่ามันโตเป็นแมงมุมผู้ใหญ่แล้ว ตัวที่ดำสนิทกับขาที่พันด้วยใยสีขาวทั้งสองข้าง ทำให้มันดูเหมือนแมลงประหลาดตัวหนึ่ง เจ้าแมงมุมขยับขาเดินไปเรื่อยๆจนถึงจุดหนึ่งมันก็ลื่นไถลตัวลงมาอีกครั้ง แต่ครั้งนี้มันไม่ปล่อยใยยึดเกาะอีกแล้ว มันปล่อยตัวเองให้หลุดออกมาจากลูกโป่ง หลุดออกมาไกลเกินกว่าที่จะกลับขึ้นไปยังลูกโป่งได้อีก

แมงมุมสีดำลอยหลุดออกมากลางอากาศ หลายคนคิดว่ามันจะต่างอะไรกันกับที่มันจะปล่อยตัวเองลงมาตั้งแต่ครั้งแรกที่มันห้อยอยู่กับเส้นใย แต่กับเจ้าแมงมุมแล้วอย่างน้อยการที่มันมีปีกที่ทำให้มันสามารถบังคับทิศทางของตัวเองได้นั้น มันก็ยังดีกว่าที่มันจะไม่สามารถกำหนดอะไรได้เลย

แต่...มันจะกำหนดทิศทางบินได้อย่างไรล่ะ ในเมื่อมันไม่เคยบินมาก่อน และวิธีการบินก็ไม่ได้อยู่ในสัญชาติญาณของมันเลยด้วย นี่เองที่เป็นความเสี่ยงที่ยังหลงเหลืออยู่...

...เจ้าแมงมุมลอยละลิ่วลงสู่เบื้องล่าง ตัวที่แสนเบาของมันทำให้มันลอยตกลงมาอย่างช้าๆ ขาที่พันใยอยู่ลองขยับไปมา มันเรียนรู้วิธีการเปลี่ยนทิศทางกลางอากาศอย่างรวดเร็ว แมงมุมตัวน้อยกำลังบิน ไม่ใช่แค่ลอยไปตามลม แต่เป็นการบินด้วยตัวมันเองจริงๆ

แมงมุมปีกใยเป็นแมงมุมพันธ์ใหม่ที่มีแต่ใน “เมืองลูกโป่ง” แห่งนี้เท่านั้น

วันศุกร์ที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2553

White Ribbon

ริบบิ้นสีขาวยาวประมาณศอก ถูกพับครึ่งทำมุมเก้าสิบองศา ริบบิ้นเส้นที่อยู่ด้านล่างทบขึ้นมาด้านบนสลับกันไป โดยมีจุดที่พับเป็นแกนกลาง

ซ้ายทบขวา ขวาทบซ้าย ผมพับริบบิ้นเส้นเล็กไปเรื่อยๆท่ามกลางเสียงเล็กแหลมทำนองอย่างฮาร์ทคอลล์ ไม่รุนแรงนักแต่ออกจะเสียดแทง

ทุกคำที่ได้ยินมันทำให้หัวใจของผมรู้สึกปวดแปลบเล็กๆ ทั้งที่เสียงเดียวกันนี้เคยเปล่งออกมา ด้วยทำนองอย่างเพลงป็อปหรือR&B ที่ฟังแล้วทำให้รู้สึกสบายใจทุกครั้งมา

เวลาหนึ่งปีที่รู้จักกับเธอมาผมคิดว่ารู้จักเธอดีแล้วเชียว แต่จริงๆแล้วมีอีกหลายเรื่องที่ผมยังไม่รู้อย่างเช่นเรื่องวันนี้
เราคบกันหลังจากที่รู้จักกันมาประมาณสามเดือน เธอเป็นเพื่อนของเพื่อนสาวของเพื่อนชายของผม

เราได้คุยกันและเริ่มสนิทกันตั้งแต่วันนั้น ผมมีบางอย่างน่าสนใจในสายตาเธอในขณะที่ผมก็คิดว่าเธอมีนิสัยดีน่าจะเข้ากับผมได้
ในช่วงแรกเธอทำให้ผมเห็นว่าเธอไม่ถือสาในความไม่โรแมนติกของผมและนั่นก็ทำให้ผมชอบเธอมากขึ้น

เธอรู้ว่าผมขี้อายมาก โดยเฉพาะกับเรื่องรักหวานซึ้งแบบนี้ ผมไม่เคยจีบเธออย่างเป็นทางการ สิ่งที่ผมทำก็เพียงแค่แสดงความห่วงใยต่างๆนานาที่ผมมีส่งไปให้เธอด้วยวิธีธรรมดาๆ แต่เธอก็รับรู้ความรู้สึกอื่นๆ ที่ส่งไปพร้อมกับความห่วงใยอันนั้นได้ นั่นคงเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เรามาคบกัน

ริบบิ้นในมือผมถูกพับจนสุดเส้น ในบรรยากาศที่ผมไม่เคยได้รับจากเธอมาก่อน
ผมใช้นิ้วชี้กับนิ้วโป้งมือซ้ายจับที่ปลายริบบิ้นทั้งสองข้างไม่ให้มันหลุด ริบบิ้นสีขาวตอนนี้มองดูคล้ายสปริงสี่เหลี่ยมเส้นยาว มองคล้ายส่วนที่ใช้เก็บลมของหีบเพลง ผมปล่อยปลายริบบิ้นอีกฝั่งที่เป็นแกน สปริงริบบิ้นเด้งขึ้นลงตามความยืดหยุ่นที่มันมี

ในตอนนี้ความหวังของผมคือสปริงริบบิ้นสีขาวเส้นเล็กน่าจะทำให้เธอได้คลายอารมณ์บ้างในเวลานี้ ทั้งที่รู้ว่าเธอไม่ใช่เด็กแล้วที่จะมาตื่นเต้นกับเรื่องธรรมดาไร้สาระแบบนี้ ผมยื่นมือที่ถือริบบิ้นสีขาวเส้นนั้นไปที่เธอ เธอปัดริบบิ้นสีขาวเส้นนั้นออกไปอย่างไม่สนใจ
ในเวลาที่ผมได้อยู่กับเธอเราเข้ากันได้ดีอย่างแปลกประหลาด หลายครั้งที่ผมทำเรื่องที่คนอื่นๆไม่ทำกันเช่นพกผ้าห่มเข้าไปในโรงหนัง อ่านหนังสือตลกแล้วหัวเราะออกมาอย่างลืมตัวในรถไฟฟ้า ถอดรองเท้าเดินในที่ทำงาน เธอยอมรับผมได้ในเรื่องพวกนี้และบางครั้งก็มีคนเห็นเธอทำเหมือนกับที่ผมทำ

ผมเคยแซวเธอว่าเลียนแบบทำไม เธอตอบกลับมาว่าแล้วเรื่องที่ทำมันเป็นเรื่องผิดหรือเปล่า เธอมองว่ามันไม่ใช่เรื่องที่ทำให้ใครเดือดร้อน เพราะฉะนั้นเธอก็น่าจะมีสิทธิที่จะทำได้เหมือนกัน

ผมเก็บสปริงริบบิ้นสีขาวเส้นเล็กนั้นขึ้นมาจากพื้น เธอมองตามอย่างอารมณ์เสีย ผมคลี่ริบบิ้นเส้นนั้นออกแล้วค่อยๆพับแบบเดิมใหม่อย่างช้าๆ ในขณะที่เธอเริ่มบรรเลงเพลงฮาร์ทคอลล์ของเธออีกครั้ง เธอพูดถึงเรื่องหลายๆเรื่องที่เธอไม่ชอบให้ผมทำ
โตแล้วนะยังชอบเล่นอะไรเป็นเด็กอยู่ได้ ใช้เงินฟุ่มเฟือย หนวดทำไมไม่โกนสกปรก รวมทั้งรื้อเรื่องที่เคยทะเลาะกันออกมาเกือบทุกเรื่อง แต่เธอไม่ได้บอกว่าที่จริงแล้วสาเหตุที่ทำให้อารมณ์ของเธอเสียวันนี้เป็นเรื่องอะไร

เธอชอบว่าผมเจ้าเล่ห์ เธอรู้ว่าบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปหนึ่งลังที่ผมให้เธอไปเมื่อเดือนที่แล้วโดยอ้าวว่าให้เธอช่วยกินผมจะเอาซองไปชิงโชค ที่จริงแล้วผมเป็นห่วงเธอว่าเธอจะไม่มีอะไรกินในช่วงที่เราทั้งสองคนเงินหมดตั้งแต่กลางเดือน เธอเจอใบเสร็จที่ผมซื้อบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปสองลังบนรถของเธอ

หลายครั้งที่ผมบอกเธอว่าแก๊สที่บ้านหมดเพื่อที่จะไปขอเธอกินข้าว ด้วยและเธอก็ยอมทั้งๆที่รู้ว่าผมไม่เคยทำกับข้าวกินเอง ดังนั้นบ้านผมเลยมีแต่เตาถ่านเก่าๆของคุณย่า

ครั้งหนึ่งผมเคยชวนเธอไปซื้อของขวัญให้เพื่อนผู้หญิงที่สนิทมากคนหนึ่งโดยบอกว่าผมไม่รู้รสนิยมของผู้หญิง
เธอเลือกไปบ่นไปว่าทีกับเธอยังไม่เคยได้ของขวัญอะไรจากผมเลย หนึ่งเดือนต่อมาเธอได้รับของขวัญชิ้นที่เธอเลือกส่งไปที่บ้านโดยมีการ์ดที่เขียนว่า

“ของที่ถูกใจ จากคนที่รู้ใจ” พร้อมแนบใบเสร็จวันซื้อเมื่อหนึ่งเดือนก่อนไปให้เธอด้วย

ผมรู้ว่าเธอโกรธผมและก็รู้ด้วยว่าเธอโกรธผมเรื่องอะไร วันนี้เป็นวันวาเลนไทน์เป็นวันวาเลนไทน์ครั้งแรกของเราตั้งแต่เราสองคนรู้จักกันมาเกือบปี ผมเป็นคนขี้อายโดยเฉพาะกับเรื่องแนวโรแมนติกหวานซึ้งอะไรทำนองนี้ ผมคงไม่กล้าเดินไปซื้อดอกกุหลาบแล้วเดินถือจนมาส่งถึงมือเธอได้

แต่ผมมีของขวัญอย่างอื่นมาให้เธอเป็นสมุดเล่มสวยเล่มหนึ่งผมรู้ว่าเธอชอบบันทึก แต่บนสมุดนั้นไม่ได้มีรูปหรือลวดลายที่เป็นดอกกุหลาบ หัวใจหรืออะไรก็ตามที่มีความหมายว่ารักชอบเลยแม้แต่น้อย

เธอบอกว่าเธอไม่ได้ต้องการของขวัญที่มีราคาแพง เธอต้องการของแค่ชิ้นเดียวเธอถามผมว่ารู้มั้ยว่าเธอต้องการอะไร ผมตอบกลับไปว่าไม่รู้ หลังจากนั้นบรรยากาศในวันวาเลนไทน์ที่ผ่านมาครึ่งชั่วโมงของเราสองคนก็กลายเป็นบรรยากาศในวันปฏิวัติอะไรซักอย่างไป ผมไม่รู้ว่าเธอจะโกรธถึงขนาดนี้ผมยอมรับว่าผมยังไม่รู้จักเธอดีพอจริงๆ แต่เธอก็ยังไม่รู้จักความเจ้าเล่ห์ของผมดีพอเหมือนกัน

ริบบิ้นเส้นเล็กสีขายกลายเป็นสปริงริบบิ้นสี่เหลี่ยมสีขาวอีกครั้ง แต่คราวนี้ผมไม่ได้ยื่นให้เธอ ผมถือริบบิ้นไว้ในมือแล้วจ้องหน้าเธอ เธอค้อนใส่แล้วทำท่าจะพูดอะไรต่อไป แต่ก่อนที่เธอจะพูดอะไรผมก็ชิงพูดกับเธอก่อน

“ผมคงเป็นคนขี้อายเกินกว่าที่จะเดินถือดอกกุหลาบไปไหนมาไหน แต่ถ้าเป็นริบบิ้นสักเส้นแล้วละก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไรเลย”

“เรารู้จักกันกันครั้งแรกด้วยความรู้สึกที่ราบเรียบธรรมดา เมื่อเราได้มาอยู่ใกล้ชิดกันเหมือนริบบิ้นที่ถูกพับเอาปลายทั้งสองข้างเข้ามาหากัน เราผูกพันกันอย่างช้าๆถึงจะยังไม่แน่นหนาอย่างเกลียวเชือก แต่ก็ผูกพันกันอย่างที่ไม่หลุดจากกันง่ายๆ”

มือซ้ายจับริบบิ้นเส้นเล็กที่ปลายทั้งสองข้างปล่อยส่วนที่เป็นแกนลง มือขวาเลือกจับปลายริบบิ้นที่สั้นกว่าแล้วค่อยๆดึง สปริงริบบิ้นค่อยๆเปลี่ยนไป

มันมองดูคล้ายกับทรงกรวย มันดูคลายกับพายุหมุนที่ดูดทุกสิ่งลงสู่ใจกลาง
ริบบิ้นส่วนหนึ่งถูกดึงลงข้างล่างในขณะที่ส่วนหนึ่งยังคงอยู่ที่เดิม

“ผมไม่รู้ว่าตอนนี้คุณรู้สึกอย่างไรกับผมแต่ผมรู้ว่าความผูกพันของเราเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆตามเวลา อย่างเป็นขั้นตอน ถ้าดอกกุหลาบแสดงถึงความรักและสีขาวแสดงถึงความบริสุทธิ์ใจผมก็อยากจะมอบดอกกุหลาบสีขาวดอกนี้ให้กับคุณ”

ริบบิ้นสีขาวตอนนี้ดูคล้ายกับดอกกุหลาบสีขาวดอกหนึ่ง

“Happy Valentine ครับ”

2548